อาถรรพ์ของพลอย ภาค 36

เล่าเรื่องโดย คนหาพลอย

▬ สวัสดีครับ ตอนที่แล้วผมเล่าถึง ตอนกลับมาจาก ไหว้พระเจดีย์มหามุณี นะครับ ผมกลับขึ้นมาบนห้อง รู้สึกเพลียมาก ผมอาบน้ำเสร็จ และนอนพักผ่อน ผมหลับไปนานเท่าไร ก็ไม่รู้ได้ มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง มาปลุกผมว่า ตื่นเถิด ผมลืมตาตื่นขึ้นมา เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งชุดไทยโบราณ ประ ดับกาย ด้วยอัญมณีต่าง ๆ สวยงาม กำลังยืนยิ้ม ให้ผมอยู่ และบัดนี้ผม ได้มายืน อยู่ในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งผมเองก็ไม่ รู้จัก ผู้หญิงคนนี้ก็คือ ผู้หญิงคนที่ผมพบ ที่เมืองหงสาวดีเก่านั่นเอง เธอพูดเอ่ยขึ้นมาว่า ฉันอยากให้เธอดู อะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วเธอก็ชี้มือให้ผมดู ผมเห็นบ้านเรือน ทรงไทยหลายหลัง มีผู้คนมากมาย แต่งตัวด้วย ชุดไทยโบราณ มีทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เด็กเล็ก คนหนุ่มสาว และคนแก่ พวกเขาอยู่กัน อย่างปกติ เหมือนชาว บ้านธรรมดาทั่วไป เธอพูดต่อไปว่า ที่เมืองนี้ ยังมีหมู่บ้าน คนไทยอีกแห่งหนึ่ง ที่ถูกกวาดต้อน มาตอนสง คราม เสียกรุง ครั้งที่สอง ดินแดนนี้ คือดินแดน ที่ต้องคำสาป จากคนไทย ครั้งที่สอง มีของสำคัญ อยู่ชิ้นหนึ่ง ที่พวกเขา นำมาจากเมืองไทย (เธอบอกผมว่าเป็นอะไร แต่ผมไม่สามารถเขียน บอกท่านทั้งหลายได้ ต้องขอ โทษด้วยครับ แต่ไม่ใช่สิงโต หรือรูปปั้น พระอุมา ที่ผมได้เล่าบอกไป แล้วนะครับ) ต่อไปเธอ จะพบของชิ้นนี้ และนี่คือ ชิ้นที่สอง ที่เธอต้องนำ กลับเมืองไทย หาไม่แล้ว สิ่งที่เธอเห็นทั้งหมด เมื่อตอนกลางวันนั้น ก็ยังต้อง คำสาปอยู่

▬ ผมบอกเธอไปว่า ตอนเช้า ผมจะใส่บาตร ทำบุญไปให้ พวกเขาอยู่แล้วนี่ และผมก็ได้ กล่าวอโหสิ กรรม ให้กับพวกเขาแล้ว ตอนไปไหว้ พระเจดีย์มหามุณี เธอพูดต่อไปว่า นั่นเป็นเพียง ช่วยให้พวกเขา พ้นจาก เวรกรรม ที่พวกเขาก่อไว้ กับคนพม่าด้วยกันเอง เท่านั้น ส่วนเวรกรรม ที่ก่อไว้กับคนไทยนั้น แม้เธอจะกล่าว อโหสิกรรม ให้กับพวกเขาแล้ว ก็ยังต้องนำของสิ่งนี้ กลับไปอยู่ดี แล้วผมจะพบ ของชิ้นนี้ ได้อย่างไร? ผมถาม และเธอตอบว่า ต่อไปเธอ จะพบได้เอง อย่าห่วงเลย พรุ่งนี้เช้า เธออย่าลืม อุทิศส่วนกุศล ให้คนไทย ที่เคยมาเสีย ชีวิต ที่เมืองนี้ ด้วยนะ ผมพยักหน้ารับคำ และถามเธอไปว่า ตอนที่เสียกรุง ครั้งที่สอง เหตุใดไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยให้ไทย ไม่ต้องเสียกรุงละ ? เธอตอบว่า ที่จริงไม่ได้ เป็นการ เสียกรุงหรอก แต่คนชอบเรียกว่า เสียกรุงครั้งที่สอง ที่จริงต้องเรียกว่า โดนปล้นเมือง และเผาเมืองจึง จะถูก การเสียกรุง ต้องมีคนของอีกฝ่าย ที่ชนะมาปกครอง แต่นี่ยังไม่มี เป็นเพียงแต่บ้านเมือง โดนเผาและโดน ปล้นทรัพย์สิน และสิ่งของ เกือบทั้งหมด เท่านั้นเอง และเหตุที่ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยนั้น ก็ไม่ใช่ หากไม่ช่วย ก็อาจต้องเสียกรุง จริง ๆ นี่ท่านได้ช่วยแล้ว แต่เหตุที่ยัง โดนปล้น และเผาก็เพราะว่า ท่านต้องการ สั่งสอนไม่ให้ คนไทย ทะเลาะกันเองอีก หรืออิจฉาริษยา กันเอง และลบหลู่ ดูหมิ่น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่บรรพบุรุษ สร้างและนับถือ กันมา เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จิตใจ ให้คนไทย สามัคคีกันรักกัน หากแตกความสามัคคี บ้านเมือง ก็จะเป็นแบบนั้น แหละ

▬ หากเราไม่ช่วยกันแล้ว ใครเขาจะมาช่วยเรา คนที่คอยยุแยงอยู่ เขาก็ถือโอกาส หากบ้านไหน เมืองไหน มี แต่คนทะเลาะกัน ก็ไม่น่าอยู่แล้ว แม้แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นมงคล ท่านก็ไม่อยาก รับรู้เรื่องราว ที่ไม่เป็นมงคล จะมีก็แต่นรก เท่านั้นที่คอยรับ รู้เรื่องราว ของทั้งสองฝ่าย ฉันบอกเธอได้เท่านี้ ต่อไปเธอจะทราบ เรื่องราวทั้ง หมดเอง อย่าห่วงเลย เธอตื่นได้แล้ว พวกเขารอเธออยู่ ผมสะดุ้งตื่น อยู่บนเตียงนอน และรีบอาบน้ำ แต่งตัวลงไปข้างล่าง ตามนัด พวกเราทานอาหารเย็น กันไปพวกเขา ก็ชวนกัน ถามผมถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อตอนกลางวันนี้อีก ว่าพวกเขาได้เห็น อย่างนั้นจริงๆ แต่ผม ก็ปฎิเสธตลอด เพราะไม่รู้ จะอธิบายได้อย่างไร และเมื่อทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็พาไปเที่ยว ชมบรรยากาศ ของเมืองมันดาเล ยามค่ำคืน ให้คนขับรถ ขับวนไปรอบ ๆ เมือง และขึ้นไปบนเขา ลูกหนึ่ง ไม่สูงมากนัก มีพระเจดีย์ อยู่บนเขาอีก องค์หนึ่ง มีคนขึ้นมาไหว้พระ กันมากพอสมควร (ที่ในพม่านั้น จะเปิดให้คนเข้ามา ไหว้พระ ได้ถึงสามทุ่ม เกือบ ทุกพระเจดีย์) บนเขานี้ เมื่อมองลงไปด้านล่าง จะเห็นตัวเมือง มันดาเล ได้เกือบทั้งหมด ดูสวยงามดี ยามค่ำ คืน พวกเรา ไหว้พระเจดีย์เสร็จแล้ว ก็ชวนกันกลับ เมื่อมาถึงโรงแรม ต่างคน ต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน ก่อน ผมขึ้นไปนอน ผมไปสั่ง ห้องอาหาร ให้เตรียมของ ใส่บาตรพระไว้ให้ ผมสองชุดตอนเช้า ผมหลับสบาย ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ตื่นขึ้นมาตีห้าครึ่ง รีบอาบน้ำแต่งตัว ลงไปที่ห้องอาหาร พนักงานของ โรงแรม ได้เตรียมของ ไว้ให้ผมหมดแล้ว มีข้าวอาหาร คาว หวานและน้ำ จัดเป็นชุดใส่ถาดไว้ ให้ผมอย่างดี สองชุด ผมขอแก้วเปล่า หนึ่งใบ เดินออกไปตักน้ำ ในคูรอบพระราชวังนั้น มาเตรียมไว้ อีกหนึ่งแก้ว สักพัก ก็มีพระเดินมา รับบาตร ถึงหน้าโรงแรม เจ้าของโรงแรม และพนักงาน ก็เตรียมของ ไว้ใส่บาตร ด้วยเหมือนกัน พวกเขาถามผมว่า ชอบทำบุญหรือ ?

▬ ผมพยักหน้ารับ มีทั้งพระทั้งเณร และแม่ชีเดินกันมา เป็นแถวเป็นสิบ ๆ รูป ผมยืนรอให้พวก เขาใส่บาตรกันก่อน และบอกพวกเขาว่า ผมนิมนต์พระ ไว้แล้วหนึ่งรูป ผมยกของ ที่เตรียมใส่บาตร ถาดแรกขึ้น จบเหนือหัว กล่าวอธิษฐาน ในใจว่า บุญกุศลและของที่ทำนี้ขออุทิศให้กับ บรรพบุรุษของคนไทย ที่มาเสียชีวิต ในแผ่นดินพม่านี้ และอุทิศให้กับ เจ้ากรรมนายเวร และพระมหากษัตริย์ และพระราชินี ของไทยทุกพระองค์ และ....... (..ไม่สามารถ บอกท่านได้) และอีกถาดหนึ่ง ผมยกขึ้นจบ เหนือหัว อธิษฐานในใจ ว่าบุญกุศล และของ ที่ทำนี้ขออุทิศให้กับ บรรพบุรุษของพม่า และบรรพบุรุษของ ชนกลุ่มน้อย ต่าง ๆ ทั้งหลาย ในพม่านี้ และกษัตริย์ ของพม่า และราชินีของพม่า ทุกพระองค์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายในแผ่นดิน พม่านี้ด้วยเถิด และขออย่าได้ จองเวรซึ่งกัน และกันอีกเลย และเมื่อผมอธิษฐานจบ พระองค์ที่ผมนิมนต์ไว้ ท่านก็เดินมา กับลูกศิษย์ของ ท่านอีกสองคน พอดี ผมเอาของทั้งหมด ใส่บาตรถวายให้ท่าน ๆ บอกให้ผมเอาน้ำในแก้ว ที่ไปตักมาในคู พระราชวังนั้น กรวดน้ำอุทิศ ส่วนกุศลให้ พวกเขาไป และท่านก็สวดมนต์ ให้พรผม และสวดบทกรวดน้ำให้ ผม เมื่อผมกรวดน้ำจบ ผมรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว รู้สึกตัวเบาขึ้น

▬ ท่านยิ้มให้ผมก่อน จะเดินจากไป เมื่อผมใส่บาตร และกรวดน้ำเสร็จ ก็ขึ้นไปบนห้องเก็บของ เตรียมเดินทางกลับย่างกุ้ง เพราะเสร็จสิ้นการสำ รวจ Phase ที่หนึ่งแล้ว พวกเราเก็บของ และเดินทางกลับ ย่างกุ้งด้วยรถยนต์ แบบไม่ได้เร่งรีบนัก และแวะนอน ค้างคืน ระหว่างทางอีกหนึ่งคืน ระยะทางจาก มันดาเลถึงย่างกุ้ง ประมาณ 600 - กว่ากิโล แต่รถวิ่งเร็วไม่ได้ เพราะ ทางไม่ดี รุ่งขึ้นของอีกวันต่อมา ระหว่างทาง เมื่อเข้าเมืองบาโก ผมขอให้พวกพม่า และญี่ปุ่น ช่วยพาผมแวะ ไปไหว้พระเจดีย์ ที่บาโกอีกครั้งหนึ่ง เพื่อกล่าว อโหสิกรรมให้กับพวกพม่า พวกเขาทำท่าแปลกใจ แต่ก็แวะ ตามที่ผมขอ และเมื่อผมกราบ พระเจดีย์ของ พระเจ้าบุเรงนอง ผมก็กล่าว อโหสิกรรม แบบเดียวกับที่ เจดีย์พระ มหามุณี คือ

▬ ผมอธิษฐานว่า ณ ที่แห่งนี้ และบรรพบุรุษของพม่า มอญ ชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย ในแผ่นดินนี้ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในแผ่นดิน นี้ ข้าพเจ้า ขออโหสิกรรม ทั้งหลาย ที่ได้ทำกันไว้แต่ชาติปางก่อน ในอดีตแทนคนไทย ทั้งประเทศด้วย และไม่ ขอจองเวร ซึ่งกันและกันอีก ขอให้ท่านทั้งหลาย จงไปผุดไปเกิด ในที่ ๆ ท่านทั้งหลาย ชอบด้วยเถิด และหากผู้ หนึ่งผู้ใด มาขอพร เพื่อไปทำร้ายผู้อื่นไปรังแกผู้อื่น และคนไทยอีก ขอให้พรนั้น กลับเป็นให้ แผ่นดินไทยมีคน ดี คนเก่ง คนกล้า เต็มบ้านเมือง ขอให้ประเทศไทย ร่ำรวยมีทรัพย์สิน เงินทอง เป็นมหาอำนาจ ทั้งในโลกนี้ และ ทั้งจักรวาลนี้ ด้วยเถิด

▬ เมื่อสิ้นเสียง คำอธิษฐานของผม ก็มีเสียงฟ้าผ่า ดังกึกก้อง ไปทั่วบริเวณนั้นอีก ทั้งพม่า และญี่ปุ่น รวมทั้งพวกนักท่องเที่ยว ที่อยู่ในที่นั้น ตกใจกันไปตาม ๆ กัน พวกพม่าและญี่ปุ่น มองมาที่ผมเป็น ตาเดียวกัน อย่างพร้อมเพรียง ผมทำไม่เห็นอีก และชวนพวกเขา กลับไปขึ้นรถ เมื่ออยู่ในรถ พม่าหัวหน้าทีม สำรวจ หันมาพูดกับผมว่า เมื่อถึงย่างกุ้ง จะพาผมไป ไหว้พระเจดีย์ ชเวดากอง และหากมีเหตุการณ์ แบบนี้ เกิด ขึ้นอีก ก็ขอให้ทุกคนเชื่อได้เลย ว่าต้องเป็นเพราะ ผมแน่นอน พวกเราหัวเราะกัน ทั้งคันรถ และพูดทีเล่นทีจริง กันมาตลอดทาง

▬ เมื่อมาถึงย่างกุ้ง ก็เย็นแล้ว จึงยังไม่ได้ไปไหว้พระ พวกเราเข้าไปพัก ในโรงแรม พวกพม่าก็ แยกย้ายกัน กลับบ้านไป แต่ก่อนกลับ พม่าหัวหน้าทีม บอกกับผมว่า พรุ่งนี้เช้าก่อน ขึ้นเครื่อง กลับกรุงเทพ จะ พาไปไหว้พระเจดีย์ พูดไปก็หัวเราะหึ หึ เพราะยังสงสัยอะไร ในตัวผมอยู่ ผมรู้สึกดีใจ และพยักหน้ารับคำ ผม และพวกญี่ปุ่น ขึ้นไปอาบน้ำ บนห้องและ ลงมาทาน อาหารเย็นด้วยกัน ที่ห้องอาหารของโรงแรม ในระ หว่างที่ทานอาหาร พวกญี่ปุ่น ขอให้ผมเล่าเรื่อง ประวัติศาสตร์ ไทย กับพม่าให้ฟัง ตอนรบกัน และผมก็ได้เล่า ให้พวกเขาฟัง แบบตามที่เรียนมา เมื่อผมเล่าจบ พวกเขาก็ พอจะเข้าใจ อะไรบางอย่างได้บ้าง พวกเขาบอกผมว่า เขาจะคอยดูพรุ่งนี้ ตอนเช้าไป ไหว้พระเจดีย์ ชเวดากอง ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น อีกหรือไม่ ผมเองก็ได้แต่ยิ้มให้ พวกเขา เมื่อท่านอาหารกันเสร็จ ต่างคนก็แยกย้ายกันไปนอน …ขอเล่าแค่นี้ก่อนนะครับ เอาไว้ต่อตอนหน้านะครับ สวัสดีครับ…คนหาพลอย ..29/9/04

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1839