อาถรรพ์ของพลอย ภาค 34

เล่าเรื่องโดย คนหาพลอย

▬ สวัสดีครับ ผมจะเล่าต่อเลยนะครับ ถึงตอนไปชม พระราชวังเก่าโบราณ เมืองมันดาเล นะครับ พวกพม่าได้พาพวกเรา เข้าไปเที่ยว ในพระราชวังเก่า โดยปกติแล้วจะไม่ให้บุคคลภายนอก เข้าไป แต่คนพม่า หัวหน้า ทีมสำรวจ เขาเป็นนายทหารเก่า ที่ทางรัฐบาล ส่งมาดูแล โครงการนี้โดยเฉพาะ พวกเราเลย สามารถเข้า ไปเที่ยว ภายในได้ เพราะได้รับ ความสะดวก จากนายทหาร และติดต่อไกด์ นำทาง เป็นทหารหนุ่ม ของพม่าสอง คนนำทางเราเข้าไป เที่ยวชมภายใน เวลาประมาณ สิบโมงเช้า อากาศกำลังเย็นสบาย

▬ ด้านนอก พระราชวัง เป็นคูน้ำล้อมรอบ เหมือนพระราชวัง สวนจิตรดาของไทย แต่ใหญ่กว่ามาก น้ำใส่สะอาด มากสามารถ เอาเรือลงไป พายเล่นได้เลยทีเดียว หรือใหญ่พอ ที่จะจัดแข่งขัน พายเรือได้เลย ทีเดียวครับ ถัดจากคู น้ำ ก็มีกำแพง ล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง สภาพยังดีอยู่ พระราชวังแห่งนี้ หากดูภายนอก จะใหญ่กว่า วังสวนจิตรดาถึง สองเท่า ทีเดียว ภายใน ไม่ค่อยมีอะไร น่าดูนัก มีแต่ศิลปกรรม ไม้แกะสลัก ลวดลายสวยงามมาก และยังคงสภาพ เป็นของเก่า อยู่ มีพวกทหารพม่า มาตั้งค่ายอยู่ในนี้ และยังไม่ได้เปิดให้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว (ในขณะนั้น แต่ตอนนี้เปิดแล้ว) บรรยากาศ ภายในวังเวงเงียบเหงามาก เหมือนเดินอยู่ ในป่าช้า ไม่มีผิดเลย (ปัจจุบัน ก็เป็นแบบนี้อยู่) พวกญี่ปุ่นเดิน ไปขนลุกไป ทั้งตัว แม้แต่พวกพม่า และเจ้าหน้าที่ทหาร ของรัฐบาล ที่พาเราเที่ยวชมเอง ก็รู้สึกได้ถึง ความสยดสยอง เย็นระเยือกจับใจ ขนลุกหนาวสั่น ผิดปกติอย่างไร ชอบกล และเหมือนมีภูตผีปีศาจ เป็นร้อย เป็นหมื่น จ้องดูพวกเรา อยู่ ค่ายทหารนั้น ตั้งอยู่ด้านหน้า ทางเข้า ด้านทิศเหนือ มีทหารหลายร้อยคน แต่เมื่อเดินลึก เข้าไปภายใน กลับเงียบ เหงา มีต้นไม้ใหญ่ขึ้น อยู่เต็มไปหมด แต่แปลก เสียงนกร้อง สักตัวก็ไม่มี

▬ พวกเรา เดินไปเรื่อย ๆ ตามทางเดิน เมื่อถึง เรือนตำหนักใด ก็แวะเข้าไปดู ตำหนักแต่ละหลัง ก็น่ากลัวมาก ถูกปิดตาย และบางตำหนัก แค่เดินผ่านก็เย็นวาบ ไปทั้งตัวทีเดียว บางตำหนัก ก็มีต้นไม้ขึ้น ปกคลุมเต็มไปหมด เหมือนศาลเจ้าร้าง รูปปั้นไม้แกะสลัก เป็นตัวละคร ในท้ารำต่าง ๆ ก็ดูหน้าบึ้ง ไม่มีตัวไหน ยิ้มเลยสักตัว ยิ้งเป็นรูปปั้น สิงโตหินด้วยแล้ว เหมือนกับกำลัง แยกเขี้ยวจ้อง จะกินเนื้อ พวกเราอยู่ ยิ่งเดินลึก เข้าไป ก็ยิ่งเหมือนเดิน อยู่ในหมู่ปีศาจร้ายที่คอยจ้องดู พวกเราอยู่ ผมไม่สนใจอะไร ทั้งสิ้น เมื่อเดินถึงเขต พระราชวังชั้นใน ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของ กษัตริย์พม่า เป็น เรือนไม้ดู เหมือนทำจากไม้สัก และแกะสลักลวดลาย สวยงามมาก เกือบทั้งหลัง มีห้องเป็นห้อง ๆ หลายห้อง บางห้องเล็กบาง ห้องใหญ่ บรรยากาศ ภายในแต่ละห้อง ดูมืดๆ เพราะสีของตัวไม้ ที่เป็นสีเทาดำ ยิ่งทำให้ ดูน่ากล้ว หน้าต่างห้อง ทุกห้อง ถูกปิดไว้ ทั้งหมด บางห้อง มีแต่ใยแมงมุม และไม่มีไฟ ส่องสว่าง มีแต่แสงอาทิตย์ จากภายนอก ที่ส่องเข้ามา พวกพม่ารู้สึกกลัว รีบพาพวกเรา เดินออกมา ที่ห้องโถงใหญ่ทันที

▬ ผมมองหน้าพวกเขา มีเหงื่อออก เต็มหน้าดูเหมือน หายใจแรง และเหนื่อย พวกเขามอง หน้ากันไปมา อยู่เลิกลัก แต่อยู่ ๆ ก็มีเสียงคนหวีดร้อง ขึ้นมาเฉย ๆ พวกพม่าและ พวกญี่ปุ่น สะดุ้งตกใจ แต่ผมเตรียมรับ สถานการณ์อยู่แล้ว และพยายามตั้งสติทำใจไว้ ตั้งแต่ตอนเข้ามาแล้ว เพราะรู้สึก ว่ามันยังงัย ๆ ชอบกลอยู่เลยไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ใจผม ก็ยังเต้นตุบ ๆ เร็วกว่าปกติอยู่ดี พอเดินไปได้ อีกสักหน่อยก็มี เสียงเหมือนอะไร ตกลงมาจากหลังคา ดังสนั่น สะเทือนถึง ที่พวกเรายืนอยู่เลย พวกเจ้าหน้าที่ทหาร รู้สึกกลัวจนตัว สั่น มีลมแรงพัดมา เย็นวูบไปทั้งตัว แล้วก็หายไปเฉย ๆ ทุกคนไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่มองหน้ากันไปมา มีเสียงคน ร้องวี๊ด ๆ ยาว ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง แต่มองไปที่ต้นเสียง ไม่เจอทุกคน ทั้งหมดชวนกันรีบเดินออกมา

▬ ผมได้แต่นึก อยู่ในใจว่า ข้าเป็นคนไทย จะมาขอเที่ยวชมบ้าง ไม่ได้หรือ? ไม่ได้เอาไฟมาเผา สะกะหน่อย จะทำให้ข้ากลัว หรือกลัวข้ากัน แน่ ตอนนั้นผมนึก อย่างนี้จริง ๆ และนึกเพราะความโมโห ที่มาทำให้ตกใจกันไปหมด พวกพม่า และญี่ปุ่นนมองหน้า กันไปมา และรีบวิ่งกันออกไป ที่ประตู ร้อง เย่ เย่ เย่ ไม่หันกลับมามองด้านหลังเลย แต่ผมกลับ ก้าวขาไม่ออก หยุด ยืนอยู่กับที่ เหมือนมีอะไร มายึดขาไว้ไม่ให้ วิ่งตามพวกเขาไป ผมพยายามยกเท้า จะก้าวเดินออกไป แต่ก็ก้าวขาไม่ ได้ และได้แต่ยกเท้า ค้างอยู่อย่างนั้น ผมกลั้นหายใจ และเอาเท้า กระทืบลงพื้นดัง ๆไปสามที และพูดขึ้นมาดังๆว่า หากทำให้ตกใจอีก จะไม่ถอนคำสาปให้ และจะแช่งไม่ให้ ไปผุดไปเกิดเลย เมื่อสิ้นเสียง ที่ผมพูดออกไป บรรยากาศก็รู้สึก ได้ว่ามันสดใสขึ้นมาทันทีทันใด

▬ ผมเดินออกไป ที่ประตูอย่างช้าๆ เห็นพวกพม่า และญี่ปุ่นวิ่งไป ตั้งไกลแล้ว เสียงแต่ละคนร้อง เย่ เย่ เย่ หายเงียบไป ผมยืนมองไปรอบ ๆ บริเวณหมุน ตัว มองไปอย่างช้า ๆ แต่พอหันหน้า กลับมาที่เดิม ผมก็ต้องตกใจอีก นี่มันอะไรกันนี่ ผมเห็นมีโรงละคร หรือโรง ลิเก มีคนกำลังเล่นละครกัน อยู่อย่างสนุกสนาน ตัวละครแต่ละตัว แต่งตัวคล้าย ๆ กับ ตัวลิเกในเมืองไทย บนเวทีมี แสงสีเสียง สว่างไสวไปทั่ว มีทั้งเสียงระนาด เสียงกลอง คละเคล้ากับการสลับขับร้อง ของนักแสดง บนเวที ด้านหน้า เป็นลานกว้าง มีคนนั่งดูอยู่เต็มไปหมด มีเสียงโห่ร้อง ปรบมือกันอย่างสนุกสนาน ครื้นเครง ผมค่อย ๆ กวาด สายตามอง ไปรอบๆ ทั่วบริเวณ ทั้งด้านหน้า ลานเวทีแสดง และบนเวที จากที่ผมยืนอยู่ สามารถเดินไปที่เวที ได้อย่างสบาย ผมตั้งสติ และตัดสินใจค่อย ๆ ก้าวเดินไปที่ ข้างเวทีนั้น แต่เมื่อผมเดินได้ แค่ก้าวเดียว ผมกลับมายืน อยู่ที่ข้างเวที แต่เป็นด้านหลังเวที แสดง มีเสียงหวีดร้อง โหยหวน โอดโอย มีเสียงดังตุบตับ เหมือนมีใครกำลังตี กันอยู่ ผมหันขวับมองไป ตามเสียงนั้นทันที ผมก็ต้องยืน ตะลึงอยู่กับที่อีกครั้ง ด้วยความสยดสยอง กับภาพที่ ผมเห็น

▬ ด้านหลังเวที มีหลุม ขนาดใหญ่ กว้างและยาว ราวสิบเมตร รอบ ๆ บริเวณบนปากหลุม มีผู้หญิงผู้ชายหลาย สิบคน ถูกผ้าปิดตา และมัดมือไขว้หลัง ผมมองลง ไปในหลุม เห็นผู้ชายตัวใหญ่ หลายสิบคน กำลังจับผู้หญิงหลาย คน เอาหัวกดลงไปบน ขอนไม้ขนาดใหญ่ แล้วทุบหัวผู้หญิง เหล่านั้นด้วยขวานบ้าง ด้วยขอนไม้ ขนาดใหญ่บ้าง เสียงดังโพล๊ะ ๆ หัวของพวกเธอ แตกกระจาย เลือดไหล มีมันสมอง สีขาวปนสีแดงเลือด กระเด็นกระจายไปทั่ว บางก้อน ก็ใหญ่เท่ากำมือ ออกมากอง อยู่ตามพื้น เต้นตุบๆๆๆ ดูหน้าขยะแขยง บางคนถูก ตัดหัวกระเด็น หัวไป ทางตัวไปทาง ชักดิ้นชักงอ เลือดแดงฉานไปทั่ว ทันใดนั้นมีเสียง ผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนชี้นิ้ว สั่งการอยู่บน ปากหลุม ด้วยน้ำเสียง เกรี้ยวกราด สั่งให้พวกผู้ชายตัว ใหญ่ๆ เหล่านั้น ตัดหัวคนนั้น ทุบหัวคนนี้ ใบหน้า และตัวของเธอ เต็มไปด้วยเลือดสด ๆ แดงไปทั่ว กลิ่นคาวเลือด เหม็นตลบ อบอวนบริเวณ ผมนึกในใจ หน้าตา ท่าทางเธอก็ดี และ คงเป็นใหญ่ในที่นี้ แต่ทำไมจิตใจ ถึงโหดร้าย อย่างนั้น ผมนึกได้แค่นั้น ก็มีเสียงดังฉับ ที่ในหลุมลึกนั้น ผมก้มลงไปดู มีผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกตัดหัวกระเด็นเลือด สดๆ พุ่งจูด ออกจากลำคอ พุ่งขึ้นสูงมาถึง บนปากหลุม กระเด็นไปโดนหน้าผู้หญิงคนที่ ยืนสั่งการอยู่นั้นทันที กลิ่นคาวเลือด เหม็นไปทั่ว ผมอ้วกออกมาทันที จนตัวงอต้องเบือนหน้าหนี ทนมองดูไม่ได้

▬ มีใครคนหนึ่งเอามือ มาลูบหลังผมไปมาเบาๆ แล้วกระซิบที่ ข้างหูผมว่า มาทางนี้เถิด ผมค่อยๆ เหลียวไปมอง ตามเสียงนั้น เห็นพระแก่ๆ รูปหนึ่ง หน้าตาท่าทาง เต็มไป ด้วยรอยยิ้ม ไม่โกนคิ้ว (พระพม่าจะ ไม่โกนคิ้ว ไม่เหมือนพระไทย) ท่านพูดต่อไปว่า ตามอาตมา มาซิ แล้ว ก็จูงมือผม เดินมาได้สองก้าว แล้วหยุดชี้มือ ไปอีกทางหนึ่งให้ผมดู ผมเอามือล้วง เอาผ้าเช็ดหน้า มาเช็ดหน้าตาแล้ว มองไปตาม ที่ท่านชี้ให้ดู ผมตกตะลึงอีกครั้ง และนึกในใจ นี่มันสวรรค์หรือนรกกันแน่ พอก่อนนะครับ ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนนะครับ เอาไว้เล่าต่อตอนหน้านะครับ ท่านกายสีม่วง มาพอดี เธอเล่าสั้นจังครั้งนี้ ? ท่านถาม ภาพมัน ยังติดตาไม่หายนะครับ หากให้เล่าต่อไป ผมตอบ

▬ อย่างนั้น เธอจงเขียนเล่าความลับสวรรค์ กับยารักษาโรคเอดส์ ตามที่ฉันจะบอกเธอเถิด ครับ ผมรับคำ อันโรคเอดส์นี้นั้น เป็นโรคที่สวรรค์ ลงโทษมนุษย์ ที่ทำตัวสำส่อน และไม่รักษาความสะอาด ในเวลาที่มีการ หลับนอนด้วยกัน ระหว่างหญิงและชาย จึงมีเชื้อโรคมากมาย เข้าไปสะสมอยู่ในร่างกาย รวมทั้งจิตใจ ของพวกเขา แสดงออก ทั้งทางอารมณ์ และร่างกาย มีความต้องการ เสพสุขผิดวิสัย ของมนุษย์ สวรรค์จึงลงโทษ พวกเขาให้ได้ รับการทรมาน โดยการทำให้ โลหิตเป็นพิษ และไม่ยอมให้ พวกหมอค้นพบตัวยา ไปรักษาพวกเขา บัดนี้ พวกที่เป็นโรคนี้ ได้ทำให้ผู้ทรงศีล ทั้งหลายต้องเดือดร้อน วัดบางวัดมีคนเหล่านี้ ไปอยู่กันเป็นร้อย ๆ คน ทำให้พระท่าน ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เจริญรอยตาม พระพุทธองค์ สวรรค์เห็นและรับรู้ หากไม่ช่วย พวกเขา สวรรค์ ก็จะมัวหมองไปด้วย ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมาบอกเธอ เธอจงเขียนเล่าลงไปเถิดว่า โรคเอดส์นี้ เป็นโรคของโลหิต เป็นพิษ ไม่มีตัวยาใด จะรักษาให้หายได้ทันที หากจิตใจ ของผู้ป่วยไม่เข้มแข็ง ด้วยแล้ว ก็จะทำให้สิ้นชีวิตเร็วขึ้น วิธีรักษาที่ถูกต้อง และหายขาดนั้น มีดังนี้ ผู้ป่วยต้องกินนม และเนยหรือสารอาหาร ที่บำรุงแคลเซี่ยม หรือกระ ดูกให้มาก ๆ เมื่อกระดูกแข็งแรง ไขกระดูก ก็จะทำหน้าที่ ผลิตเม็ดเลือด ให้ร่างกายได้ อย่างสมบูรณ์ ตลอดและจะ พยายาม สร้างเลือดดี มาเจือจางเลือดเสีย อยู่ตลอดเวลา หากจิตใจ ของผู้ป่วยเข้มแข็งพอ มีการออกกำลังกาย ช่วย อยู่ทุกวัน ไม่ท้อแท้ ไม่อ่อนแอ ก็จะทำให้โรคนี้ หายเร็วขึ้น เลือดเสียก็จะค่อย ๆหมดไป หากอายุของผู้ป่วยไม่ มากยังอ่อนวัยอยู่ อาจใช้เวลารักษา แค่ห้าปี หรือสามปี ก็จะหายขาดจากโรคนี้ หากอายุมาก อาจใช้เวลาถึงสิบ ปี เพราะผู้ที่อายุมาก หากกินอาหาร บำรุงกระดูกมากเกินไป ก็อาจจะเกิดผลร้ายเกี่ยวกับ โรคข้อกระดูกได้ ควรกินนม และเนยแต่พอดี แล้วออกกำลังกาย ช่วยอยู่ทุกวันทำจิตใจให้เข้มแข็ง แค่นี้ ก็หายขาดจากโรคนี้แล้ว และไม่ต้องไป เสียเงินซื้อยาราคาแพง หรือไปทำให้พระ และผู้ทรงศีลทั้งหลายท่าน เดือดร้อน

▬ เพียงแต่ว่าผู้ที่เป็น โรคนี้ ไม่ค่อยชอบกินนม และเนยเท่านั้นเอง แต่หากค่อย ๆ กิน ทุก ๆ วัน ก็จะชินไปเอง ฮา ฮา ฮา วิธีการรักษามีแค่นี้เองหรือ ? ผมถามท่าน ท่านตอบว่า มีแค่นี้จริงๆ ท่านม ีเหตุผลอื่น ยืนยันหรือไม่ ท่านจง ทำให้แจ้ง ยิ่งกว่านี้เถิด ? ผมถามต่อ ท่านตอบว่า มีซิ เธอจำ เครื่องหมาย บวก (+) ของท่านกาย สีเหลืองได้ไหม? จำได้ผมตอบ ท่านกล่าวต่อไปว่า มาท่างนี้ซิ ผมก้าวตามท่าน ไปก้าวเดียวก็มาถึง ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ท่านชี้มือ ให้ผมดู แล้วพูดต่อไปว่า เธอเห็นโลกมนุษย์แล้ว ใช่ไหม? ผมมองเห็นโลกเกือบจะทั้งใบ หากเธอเอาเครื่อง หมายบวกนี้ วางลงไปบนโลก เธอจะพบทวีปทั้งสี่ทวีป ท่านพูดและชี้มือให้ผมดู และพูดต่อไปว่า เธอมาดูทวีป ยุโรปก่อนซิ ผู้คนในทวีปนี้ มีประพฤติกรรม สำส่อนกว่าคนใน ทวีปอื่นอีก ( ผมเห็น.......) แล้วเธอดูทวีปอเมริกา ซิ คนในทวีปนี้ ก็เช่นกัน เธอดูคนที่เป็นโรคเอดส์ ในสองทวีปนี้ ซิคนเหล่านั้น ก็มีมากพอกับ คนในทวีปเอเชียและ แอฟริกาอีก แต่คนเหล่านั้น ยังใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข เหมือนคนธรรมดาทั่วไป และบางคนไม่มี ใครรู้อีกว่าเป็น โรคร้ายนี้ พวกเขายังแข็งแรง ก็เพราะบริโภค อาหารที่ดี มีเนื้อนมเนย สารอาหาร ที่บำรุงกระดูก ให้เติบโตและ แข็งแรง คนที่เป็นโรคนี้ ในสองทวีปนี้ จึงไม่ค่อย จะมีผู้ป่วยที่ ต้องไปนอนตามวัด หรือโรงพยาบาล เหมือนคนใน ทวีปเอเชีย และแอฟริกา ที่ไม่ค่อยได้รับ สารอาหาร ทั้งสองอย่างนี้ จึงทำให้กระดูก และร่างกาย ไม่แข็งแรง และทำ ให้จิตใจอ่อนแอ แย่ลงไปอีก

▬ แล้วเธอดูคนใน ทวีปเอเชีย และแอฟริกาซิ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้ ไม่มีใครเอานม หรือเนย ไปให้พวก เขา กินเลย หรือมีบ้าง แต่ผู้ป่วยเหล่านั้น ก็ไม่รู้เลยไม่ได้กิน ร่างกาย ของพวกเขา จึงซูบผอมและ นอนรอ วันตาย จึงเป็นอย่างที่ เห็นนี้แหละ และวิธีการรักษา แบบนี้ ก็ยังสามารถใช้ได้ กับคนที่โลหิตเป็นพิษ ต้องถ่ายเลือด อยู่ตลอด อีกด้วย หากร่างกาย และกระดูก ของเขาแข็งแรง ไขกระดูก ทำงานได้ดี ผลิตเลือดดี ไปเจือจางเลือดเสียได้ อยู่ตลอดเวลา ไม่ช้าร่างกาย ของเขา ก็จะเป็นปกติ ไม่ต้องไป ถ่ายเลือด อีก เธออย่ากลัว ไปเลย เธอเขียนลงไปเถิด คนที่เขาไม่มีที่ไปแล้ว เขาจะหันกลับมาใช้วิธีนี้ รักษา และเมื่อเขารักษา หายได้ผลดี เขาก็จะบอกต่อ ๆ กันไปเอง หรือคนที่เขาอ่าน แต่ไม่ได้เป็นโรคนี้ เขาอาจอยากจะทำบุญ และ เขาก็เอา ข้อความนี้ ไปให้ผู้ที่เป็นโรคนี้ อ่าน เขาก็จะได้บุญเอง อย่ากลัวเลย อย่างนั้นผมก็ ถามท่าน ถามมาเถิด หากผู้ที่เป็นหมอ อ่านพบข้อความนี้ เขาจะคิดอย่างไร ? ท่านตอบ หากผู้ที่เป็นหมอ ที่รักษาโรคนี้ อยู่อ่านพบ บทความนี้ เขาแค่ให้คนไข้ ที่เป็นโรคนี้ดื่มนม ที่มีแคลเซี่ยมสูง วันละแก้วเพียงเจ็ดวัน เขาก็จะพบสิ่งที่เกิด ขึ้นกับคน ไข้เองนั้นแหละ ว่าร่างกาย พวกเขา มีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้น ผิดปกติ และหากให้คนไข้ออกกำลังกาย ช่วยด้วยแล้ว ไม่ช้าพวกเขา ก็กลับไปอยู่บ้าน ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา ทั่วไปได้ เองอย่ากลัวไปเลย ขอบคุณครับ

▬ ผมกล่าวขอบคุณท่าน และท่านก็หายไป ท่านทั้งหลาย หากท่านเป็นโรคนี้อยู่ หรือมีญาติ พี่น้องเป็นอยู่ ก็ลองนำไปไช้ดูนะครับ แค่เจ็ดวันก็เห็นผลแล้ว และหากได้ผลอย่างไร ก็บอกกันบ้างนะครับ ขอบคุณครับ

▬ เมื่อตอนที่แล้ว ผมได้ให้ท่านเจ้าของเว็บ หรือ Stonelover club ช่วยหาผู้โชคดี จากทาง บ้านให้หนึ่งท่าน และ ขอให้ทาง ทีมงานของ ทางเว็บ สละสิทธิ์ ให้กับผู้อ่าน ทางบ้านก่อน ก็เพื่อที่จะให้พวกเขา ที่เสียเงินค่า Internet และเข้ามาอ่าน และให้กำลังใจ อยู่เสมอ และบางท่าน ก็เป็นลูกค้าของทางร้านค้า Stonelover .com เองหรือร้าน อื่น ๆ ที่สนับสนุน เว็บไซค์นี้อยู่ ได้มีโอกาสพบ กับสิ่งที่เขา ไม่เคยพบบ้าง บางท่าน อาจไม่เชื่อเรื่องอาถรรพณ์ ต่าง ๆ หรือเรื่องลึกลับ ต่าง ๆ หรือสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ หรื่อสิ่งดีๆต่าง ๆ หรือไม่เชื่อว่า จะมีคนเอาแก้วมณี มาแจก ผมจึงอยาก จะให้เขาได้พบ กับสิ่งเหล่านี้บ้าง และบางคนก็อยาก จะพบกับสิ่งเร้นลับ เหล่านี้ แต่ก็ไม่เคยได้พบ ผมจึงเปิดโอกาส ให้เข้าได้พบ และผมต้อง ขอเตือน ท่านผู้โชคดี อีกครั้งว่าท่านต้อง ทำตามกฎแปดข้อ นั้นให้ได้ นะครับ และห้ามนำไป ขายเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ท่านจะพบกับสิ่งที่เหลือเชื่อ ชนิดสยองไปเลย ทีเดียว ทั้งตัวท่าน เอง และผู้ชื้อเลยแหละครับ และขอเรียน ท่านเจ้าของเว็บว่า เปิดรับผู้ที่สมัครใจ ถึงสิ้นเดือนนี้ก็พอครับ หากมีหลายท่าน ก็จับฉลากกันนะ ครับ หรือให้น้องชาย ผมช่วยจับรายชื่อ ผู้โชคดีให้ก็ได้ครับ On line คุยกับเขาตอนวันจันทร์ก็ได้ครับ ลองนัดวัน คุยกันดูนะครับ ขอบคุณอีกครั้งครับ …คนหาพลอย ..17/9/04

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1771