อาถรรพ์ของพลอย ภาค 31

เล่าเรื่องโดย คนหาพลอย

▬ สวัสดีครับ ผมจะพาท่านไปเที่ยวพม่าต่อนะครับ คณะของผมไ ด้ไปสมทบ กับคณะ ของคนพม่า อีกสี่คน และได้เข้าพบผู้นำรัฐบาลครบทุกคน เราทำการสำรวจทุกสถานี ในย่างกุ้ง อยู่เจ็ดวันเต็มๆ และก็ทำให้ผมได้ทราบว่าเคยมีบริษัททำโทรศัพท์ ของคนไทยรายหนึ่งมา ลงทุนไว้บ้างแล้ว แต่เจ๊ง กลับไป (ชื่อย่อ ว่า U.) พอถึงวันที่แปด ก็เดินทางไปสำรวจ ตามเมืองต่างๆ ต่อไปอีก เริ่มเดินทาง ขึ้นไป ทางเหนือ จุดหมายปลายทาง คือเมือง มันดาเล (อังวะในสมัยก่อน) แต่ระหว่างทาง ก็ยังมีสถา นี ทวนสัญญาณ ที่ต้องทำการ สำรวจทุกสถานี อีกนับสิบสถานี และระหว่างทางยังมีสถานที่ ท่องเที่ยว อีกหลาย แห่ง

▬ คณะของเราทำการ สำรวจไปเที่ยวไปตลอดทาง ส่วนใหญ่จะเข้าไปไหว้พระ ไหว้พระเจดีย์เก่าๆ อายุหลาย ร้อยปี วันนั้น ผมเดินทาง มาถึงเมืองพะโค เขตบาโก(Bago) (หงสาวดีในสมัยก่อน) ก่อนเข้าเมือง พะโคคณะของ เราก็แวะไหว้ พระนอนองค์ใหญ่ และเจดีย์ ที่กษัตริย์พม่า สมัยบุเรงนองสร้างไว้ (คนไทยเรียก บุเรงนอง แต่คนพม่า เขาเรียกว่า บายี่หน่อง และบางคนเรียก เบย่าหน่อง) เมื่อรถที่นำ คณะของเรามาถึง บริเวณลานจอดรถ ข้างพระนอน ก็มีเด็กๆ ชาวพม่า วิ่งมาเปิดประตูรถ ให้คนในรถลงมา ไหว้พระ

▬ และเมื่อผมก้าวลงจากรถ พอเท้าผม แตะพื้นดินเหตุ การณ์ ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เกิดแผ่นดินไหว สะเทือน ถึงกับรู้สึกได้ เสียงผู้คนร้องกัน เอะอะไปหมด ทำเอาทุกคน ตกใจกลัว เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไร ขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป สักครู่หนึ่งจึงได้ทราบกันว่าเกิด แผ่นดินไหวขึ้น แต่สำหรับผม มีความคิดแปลกๆ เพราะมันไหว ผิดปกติ ขนาดยืนอยู่บนพื้นดินแท้ๆ ยังรู้สึกได้ รถที่จอดนิ่งสนิทแล้ว ก็ยังขยับเคลื่อนที่ได้ เล่นเอาคนขับรถ ตกใจกลัว ต้องหาก้อนหิน มาหนุนล้อรถไว้กันไหล เดินหน้าถอยหลัง พวกเรายืนคุยกัน อยู่ตรงลานจอดรถ เกือบครึ่งชั่วโมง แล้วจึงเข้าไปไหว้พระนอน (ในพม่า เมื่อเข้าเขต สถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ ต้องถอดรองเท้า เดินเท้าเปล่าเข้าไป) คณะของเรา เดินเข้าไปไหว้พระนอน และเดินวนรอบ พระนอนหนึ่ง รอบ เด็กๆ ชาวพม่าเดิน ตามพวกเรามา เป็นขบวนเกือบ ยี่สิบคน เพื่อขอสตางค์ ก่อนผม จะขึ้นรถกลับ ผมควักกระ เป๋า สตางค์ ดูมีแต่แบงค์ห้าร้อยจ๊าต ทั้งนั้นเลย

▬ ผมแจกเด็กๆไ ปคนละห้าร้อยจ๊าต คนพม่า ที่มาด้วยทั้งสี่ ร้องห้ามผม ใหญ่เลย บอกผมว่า ให้มากเกินไป แต่ผมก็บอกว่า ไม่เป็นไรนาน ๆจะได้ทำบุญทีหนึ่ง พวกเขาบอกเด็กๆ พวกนั้น ว่า ผมเป็นคนไทย เด็กๆพวกนั้น พากันร้องไห้ วิ่งเข้ามากอดผม เล่นเอาผมทำอะไรไม่ถูก คนพม่า และเจ้าหน้าที่ ๆ เฝ้าสถานที่ อยู่ต้องมาไล่เด็กๆ เหล่านั้นออกไป ผมจึงขึ้นมาบนรถได้ เมื่อรถออกจาก ลานจอดรถ เด็กๆ เหล่านั้นยัง ยืนร้องไห้ โบกมือให้ผมอีก แล้วก็วิ่งตามรถมาส่ง จนถึงปากทาง เล่นเอาทุกคนในรถ นิ่งเงืยบ นั่งน้ำตาซึมไป ตามๆ กัน

▬ เมื่อเข้ามาถึงตัวเมือง พะโค รถก็มาจอด หน้าเจดีย์ใหญ่ อีกองค์หนึ่ง พวกพม่า พาเราขึ้นไปไหว้ พระเจดีย์กันอีก พม่า ที่เป็นหัวหน้าทีม สำรวจบอกผมว่า นี่เป็นเจดีย์ที่ พระเจ้าบุเรงนองสร้างไว้ พวกเรากราบ พระเจดีย์แล้วก็เดิน วนรอบเจดีย์ อีกหนึ่งรอบ มียอดเจดีย์เก่า หักพังลงมาอยู่ข้างล่าง เขาอธิบายให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งก็เกิด แผ่นดินไหว และยอดเจดีย์ ได้หักพังลงมา ที่เห็นกองอยู่ ด้านล่างคือ ยอดเจดีย์เก่า ส่วนยอดบน เป็นของใหม่ ที่ทางรัฐบาลสร้าง ขึ้นมาแทนของเดิม เมื่อไหว้พระเจดีย์ เสร็จแล้ว พวกเราก็ไปที่ชุมสาย โทรศัพท์ของ เมืองพะโคต่อ ที่สถานีพะโคนี้ ผมต้องสำรวจ ระบบส่งสัญญาณ ไมโครเวฟด้วย และจำเป็นต้อง ปีนขึ้นไป บนเสาส่งสัญญาณด้วย สถานี นี้เสาส่งสัญญาณสูง จากพื้นดิน 70 เมตร ผมต้องขึ้นไป บนยอดเสา กับคนญี่ปุ่นสองคน เมื่อเราขึ้นไปถึงยอดเสา ผมได้มองดูทิวทัศน์ รอบๆ เมืองพะโค เห็นเมืองเก่า คล้ายๆ เมืองเก่าอยุธยา บ้านเรา แต่ไม่มีเจดีย์ เหมือนอยุธยา เป็นเมืองเก่า อยู่ใกล้ๆ กันไม่ห่างกันมาก เท่าไรนัก และเมื่อผมลงมา จากเสา ผมได้ถาม คนพม่าว่าที่เมืองเก่านั้น เป็นเมืองอะไร ? เขา ตอบผมว่า เป็นพระราชวังเก่า ของพระเจ้า บายี่หน่อง (หรือบุเรงนอง) แล้วเขาก็ถามผมว่า อยากไปเที่ยวไหม? ผมรีบตอบทันทีว่า ไปซิ เขาบอกผมว่า พรุ่งนี้จะพาไปเที่ยว วันนี้เย็นแล้วกลับโรงแรมไปพักผ่อนกันก่อน ดีกว่า

▬ โรงแรมในเมือง พะโคเป็นโรงแรมไม้ เล็กๆ ไม่ใหญ่นักดู ท่าจะสร้างมาเป็นสิบปีแล้ว ห้องพักเป็น ห้องพัดลม ธรรมดา แต่ก็เป็นห้องใหญ่ พอสมควร เจ้าของโรงแรม เป็นผู้ชายวัยกลางคน พร้อมทั้งภรรยา และลูกสาววัยประมาณ เกือบยี่สิบสองคน เมื่อรู้ว่าผมเป็คนไทย ก็ต้อนรับผมอย่างดี แถมยังพูดภาษาไทย ได้บ้างนิดหน่อยเล่น เอาพวกญี่ปุ่น และพวกพม่า อิจฉาผมเลย ผมเองก็แปลกใจ ว่าเขาบริการผมดีผิดปกติ ไปจริงๆ ตอนค่ำ เราทานอาหารเย็นกัน ที่ห้องอาหารของโรงแรม

▬ ผมลืมบอกท่านไปว่าธรรมเนียม ของพม่านั้น เวลาทาน ข้าวนั้น เขาจะให้เกียรติกันมาก ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ หรือมีอาวุโสกว่า จะเป็นผู้ตักกับข้าว ใส่จานให้ผู้ที่มี อาวุโสน้อยกว่า ก่อน แล้วหลังจากนั้น ต่างคนต่าง ก็ผลัดเปลี่ยนกัน ตักกับข้าวให้ซึ่งกันและกัน มีความหมายว่า หรือเรียกว่ามีอะไร ก็แบ่งกันกิน (ที่คองโก นี่ก็เหมือนกัน พวกเขาจะชอบ ถามผมว่าหิว หรือยังมีความหมายว่า ฉันเป็นห่วงคุณนะ) หากท่านได้ ไปเที่ยว และเจอเหตุการณ์แบบนี้ ก็อย่าตกใจนะครับ บางที มีงานเลี้ยงใหญ่ๆ ผมก็ทาน แต่กับข้าว ก็อิ่มแล้ว ครับ เดี๋ยวคนนั้น ตักให้ผมที คนนี้ตักให้ผมทีเต็มจานเลยครับ ทานแต่กับก็อิ่มแล้ว เพราะผมเป็น คนทานน้อย (ไม่ ตะกละ) พออิ่มท้องผม ก็พอแล้ว และจะชอบทาน เป็นเวลา บางคน ผมเห็นเวลาทานข้าว ก็ทานนิดเดียว แบบที่ชาว บ้านเรียกว่า กินยังกะแมวดม นั่นแหละครับ แต่คนที่เป็นแบบนี้ จะชอบกิน จุบกินจิบ คือกินไม่เป็นเวลา เดี๋ยวหิว นั้น เดี๋ยวก็หิวนี่ คนแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะ เป็นคนอ้วน เพราะว่ากระเพาะจะหิวอาหาร อยู่บ่อยๆ ต้องหาอะไรมา ใส่ท้อง อยู่เป็นประจำ แล้วอาจจะเป็นคน หงุดงิดง่าย บางคนก็ควบคุมอารมณ์ ตัวเองไม่ค่อยอยู่ บางคนก็มีโรคอ้วน ถามหา ต้องไปลดน้ำหนักอีก ผมเห็นคน ที่ต้องไปซื้อบริการ ลดน้ำหนักนั้น เป็นคนที่เกิด มาเสียชาติเกิดจริงๆ กินทิ้ง กินขว้างแล้ว ยังไม่พอ ต้องไปเสียเงิน ลดน้ำหนักอีก เป็นคนไม่มีคุณภาพ

▬ บางคนบอกว่า กินเบียร์แล้วจะอ้วน ผมเองก็ชอบกินเบียร์ แต่อายุจะสี่สิบแล้ว น้ำหนักแค่ 50 กิโลเอง แสดงว่ากินเบียร์ไม่เป็น หรืออาจจะไม่รู้จักกิน ผมกินเบียร์ ก็เพราะว่า ต้องเดินทางไปต่างประเทศ บ่อยๆ บางประเทศอาหาร ก็ไม่ถูกปาก บางประเทศอาหาร มีแต่น้ำมันเยิ้ม ไปหมดขนาดไข่เจียว ยังมีน้ำมัน ยังกับ ไข่ชุบน้ำมันทอด แน่ะครับท่าน ยิ่งที่นี่ด้วยแล้ว อาหารพื้นเมือง ท่านอาจจะทานไม่ได้เลย ละครับ บางอาทิตย์ เจ็ดวัน แล้ว ผมยังไม่ได้ถ่ายเลย ละครับท่าน (ขอโทษนะครับ) อาหารไม่ย่อย แต่ผม ก็ดูแลตัวเองได้ครับ เพราะชินกับเรื่อง แบบนี้แล้ว บางประเทศน้ำดื่ม ก็ไม่สะอาด แต่เขาเอามาให้กิน หากไม่กินก็จะหาว่า ไม่ให้เกียรติกัน ผมก็ต้องกินละครับ แล้วกลับไปถึง ที่พักก็ค่อยหาทางให้อาหาร มันย่อยโดยวิธีกินเบียร์ นี่แหละครับท่าน ไม่อย่างนั้น ผมก็จะผอม เหมือนไม้ซีก ได้ครับ หากใครมีวิธีอื่น ที่ดีกว่านี้ก็บอกผม บ้างนะครับ หมอก็เคยแนะนำผม ให้ทานวิตามิน รวมช่วย แต่วิตามีน มันไปกัด กระเพราะ ผมเกือบทำให้ผมเป็น โรคกระเพราะแนะครับท่าน ผมเลยใช้วิธีนี้แหละครับ

▬ แต่ผม ไม่ชอบไปกินเบียร์ ตามร้านอาหาร เพราะว่าเวลา ผมกินเข้าไปแล้ว จะง่วงนอนมาก ผมจะชอบกิน อยู่ใกล้ๆที่นอน เวลาง่วงนอน ก็เข้านอนได้เลย สบายมากครับ หากมีงาน เลี้ยงใหญ่ๆ ที่ต้องกิน กับพวกคน ต่างชาติเยอะๆ ผมก็จะ ทานข้าว เข้าไปให้อิ่มก่อน เอาให้เต็มที่เลยครับแล้ว ตามด้วยกินน้ำชาเข้าไปมากๆ แล้วค่อยไปนั่งกิน เบียร์กับพวกเขาครับ วิธีนี้กินเบียร์เข้าไป เท่าไหร่ ก็ไม่เมาครับ หากทานข้าวอิ่มแล้ว ไม่เชื่อท่านลองดูซิครับ แต่จะทานเบียร์ไม่ อร่อย และเข้าห้องน้ำบ่อยๆ แต่ผมก็ไม่อยากแนะนำใคร ให้ทำนะครับเพราะเรื่องแบบนี้มันแล้ว แต่คนนะครับร่าง กาย คนเรา ไม่เหมือนกัน บางคนรับได้ แต่บางคนรับไม่ได้ ผมไปเมืองจีนผมก็ต้องไปกินเหล้า ยี่ห้อเหมาไถอายุ 50 ปี กับพวกคนจีน กินแบบคว่ำแก้วละครับ พอยกแก้วก็บอก คำไป่ พอยกดื่มก็ต้องดื่มให้หมด ทีเดียวแล้วคว่ำแก้วกัน เหมือนในหนังจีน นั้นแหละครับ พวกเขาดื่มกัน แบบนั้นแหละครับ ผมซัดเข้าไปสองสาม จอกก็หลับคาโต๊ะเลย แหละครับ ให้พวกเขาอุ้ม ผมเข้าไปนอน พอพวกเขาโดน แบบนี้เข้าสักสองสามครั้ง วันหลังพวกเขา ก็ไม่เรียกผมดื่ม แบบนั้น อีกเลยครับ แต่พวกเขา ก็เก่งมากครับ ไม่เมาไม่เลิก ผมเล่าให้ฟังอย่างเดียว นะครับท่านทั้งหลาย อย่าเอาไปทำตามนะครับ ไม่ดีหรอกครับและท่าน ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบ ผมด้วย

▬ อ้าวผมก็เล่าเพลินไปแล้ว เข้าเรื่องดีกว่าครับ ตอนค่ำ เราทานอาหารเย็นกัน ที่โรงแรม ทั้งเจ้าของ โรงแรม ภรรยาและลูกสาวทั้งสองคน มาคอยให้บริการ ด้วยตัวเองอย่างดี เล่นเอาทุกคนตกใจ ผมเองรู้สึกเกรงใจ พวกเขามาก ถึงแม้จะเสียเงินค่า ที่พักก็จริง เมื่อทานอาหารเสร็จ คนพม่า ที่เป็นหัวหน้า ทีมสำรวจ ก็ชวนพวกเราออกไปนั่งรถ ชมเมืองเล่นในยามค่ำคืน คนขับรถพา เราวนรอบเมือง ไปมาอยู่สองรอบไม่ค่อยมีอะไรให้ ดูมากนัก มีแต่คนมาไหว้ พระเจดีย์กันตอนกลางคืน พระเจดีย์ที่นี่ จะปิดตอนสาม ทุ่ม จะมีชาวบ้านมาไหว้พระ และนั่งสมาธิ มีทั้งหนุ่มสาว และคนแก่มากันเยอะมาก อาจเป็นเพราะว่า ไม่มีสถานที่อย่างอื่น ให้พวกเขาไปเที่ยวกัน ก็ได้

▬ ผมเห็นหนุ่มสาว บางคู่เมื่อไหว้พระเสร็จแล้ว ก็นั่งจับคู่คุยกันเป็นคู่ๆ เยอะมาก ผมลืมบอก ท่านทั้งหลาย ไปอีกว่า ที่พม่านี้เขา ไม่มีโรงแรมม่านรูด เหมือนบ้านเรา ตอนกลางวัน ตามสวน สาธารณะ หรือบางที ก็ตอนกลางคืน จะมีพวกหนุ่มๆ สาวๆ ไปนั่งจับคู่ คุยกันอยู่ เป็นคู่ๆ คือคู่ใคร คู่มันไม่มั่วกัน ไม่ว่ากัน ไม่ แอบมองซึ่งกันและกัน อะไรแบบนั้นแหละครับ เพราะว่านั่งอยู่เป็นคู่ๆ ใกล้ๆกัน บางคู่ก็นั่งหันหลัง ให้กันจะทำ อะไร ก็ไม่ไปมองซึ่งกันและกัน คนที่เดินผ่านไปมา ก็มีมารยาทดี ไม่ไปแอบมองพวกเขา มีแต่พวก คนต่างชาติเท่า นั้น ที่ไม่เข้าใจพวกเขา หากท่าน ไปเที่ยวแล้ว ไปเจอแบบนี้เข้า ก็อย่าไปทัก หรืออย่าไปแอบดู เขานะครับ ท่านจะทำ ผิดกฎหมายเขา นะครับ เป็นเรื่องปกติ ของพวกเขาครับ ในหมู่คนต่างชาติ ที่ไปอยู่ที่พม่า นานๆ นั้นจะมีเรื่องตลกๆ แบบนี้ มาพูดคุยกัน ในวงสนทนาให้ได้ หัวเราะกันตลอด แหละครับ เช่นเวลาฝนตก ใต้ต้นไม้ใหญ่ ในสวนสาธารณะ หนุ่มสาวคู่หนึ่ง นั่งกางร่มหลบฝน อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ผู้หญิงก็นุ่งผ้าถุง ผู้ชายก็นุ่งโสร่ง นั่งหันหน้าชนกัน ไม่ต้องแก้ผ้า ให้เสียเวลา และอายผู้คนที่เดินผ่าน ไปมา ทั้งคู่ก็มีความสุขแล้ว ละครับ นี่เป็นเรื่องจริงนะครับ หากท่าน ไปเที่ยวแล้ว เจอแบบนี้ อย่าไปเที่ยว ชี้ไม้ชี้มือ ให้คนโน้น ให้คนนี่ดู พวกเขานะครับ เขาจะถือว่า ท่านนั้นทำบาป เพราะคนเขา จะมีความสุขท่าน ไปทำให้ เขาไม่มีความสุข ท่านนั้นเป็นคนบาป นะครับ ผมเห็นพวก นักท่องเที่ยว ที่เป็นคนไทย เวลาเห็นอะไร แบบนี้แล้ว ชอบพูดว่า พวกเขา แล้วยังชี้ไม้ชี้มือ ให้คน อื่น หรือเพื่อนๆ ที่มาด้วยดูอีก อันนี้ไม่ดีนะครับ พวกเขาไม่ได้ คิดอย่างเราคิดครับ ดูเฉยๆ แล้วเก็บไว้ในใจ ดีกว่านะ ครับ อย่าไปวิจารณ์อะไร ในประเทศ เขานะครับ ผมเห็นบางคน ก็ชอบพูดเรื่องประวัติศาสตร์ และการเมืองของเขา ระวังนะครับ ท่านจะเดือดร้อน ผมขอเตือนท่าน อีกครั้งหนึ่งถ้าท่าน อยู่ในประเทศเขาแล้ว กรุณาอย่าพูด เรื่องการ เมือง อย่าพูดเรื่อง ประวัติศาตร์ อย่าพูดเรื่องยาเสพติด และสิ่งที่ผมเคยบอก ท่านไปแล้ว เมื่อตอนที่แล้ว หากท่าน ไม่เชื่อผมท่าน ก็ควรจะรู้ไว้ว่า เมื่อท่าน ก้าวเท้าลงจากเครื่องบิน ตัวอาคารสนามบิน โรงแรมที่ท่านพัก หรือรถที่ท่านใช้ บริการ ที่ท่านใช้ หรือแม้แต่ หากท่านต้องนั่งเครื่องบิน ภายในประเทศ ของเขาไปเมือง ต่างๆ ท่านทั้งหลาย

▬ จงรู้ไว้ว่า สิ่งเหล่านั้น ลูกหลานคนไทย เป็นคนจ่ายเงิน ให้เข้าไปสร้างครับ ไม่เชื่อผมท่านลองไป ถามสมเด็จพระเทพ ดูซิครับ ไปเที่ยวมาครั้งที่แล้ว นั่งเครื่งบินภายในประเทศ ของเขา ท่านรู้หรือ ไม่ว่าสายการบินนั้น ใครเป็นเจ้าของ (ท่านเจ้า ของเว็บ และผู้ดูแลเว็บ ไม่ต้องลบนะครับ ผมรับผิดชอบ กับข้อเขียนนี้หากไม่จริงรู้แล้ว จะผวาไปทั้งลำ หรืออาจจะทำให้ คนไทยผวาไปทั้งประเทศ) เพราะผมยัง ไม่ได้เขกหัวทูตทหาร ในพม่าเล่นเลย ผมไม่ได้ เป็นคนก้าวร้าว นะครับ อย่าเข้าใจ ผมผิด ช้างเขียวนั้น มันต้องกินม้า จึงบ้าแล้วบินได้ จำไว้นะท่านทูต ผมก็เล่าเพลินอีกแล้ว เข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ ที่ผมเล่าให้ ท่านฟัง ก็เพราะผมดันไป ชวนท่านไปเที่ยวไว้เลย ต้องป้องกัน ท่านไว้ก่อนครับ กลัวท่านจะเดือดร้อน เดียวท่าน จะมาว่าผมชวน ไปเที่ยวแล้วไม่บอกกัน ก่อนว่ามีแบบนี้ ด้วยผมเลย ต้องเล่า ให้ละเอียดมากกว่า เดิมหน่อยหนึ่งครับ ท่านจะสังเกตว่า ปกติผมจะไม่เล่าอะไรแบบนี้ ฮิ ฮิ คนขับรถ พาเราวนรอบเมืองแล้ว ก็พากลับโรงแรมที่พัก พอถึงที่พักต่างคนต่างก็แยกย้ายกัน ไปนอนห้องใคร ห้องมัน ผมก็นอนของผม ห้องหนึ่ง เป็นเตียงเดี่ยว ห้องพัดลม เมื่อผมอาบน้ำเสร็จ จะเข้านอนก็มีคน มาเคาะประตู เรียกผม ผมเปิดประตูออกไปดู เห็นเป็นผู้ชายเจ้า ของโรงแรมนั่นเอง ถามผมว่าจะนอน หรือยังมีเรื่อง อยากจะคุย ด้วย

▬ ผมก็บอกว่ายังเลย เขาก็ชวนผมออก ไปนั่งคุยที่ห้องรับแขก ผมก็แต่งตัวออกไป นั่งคุยกับเขา เมื่อไปถึงห้องรับ แขกก็พบว่ามีภรรยา และลูกสาวทั้งสอง ของเขานั่งรออยู่แล้ว และเชิญให้ผม นั่งรินน้ำชา ให้ผมดื่ม พวกเขาถามผม ว่ามาทำ อะไรที่นี่หรือ? ผมก็บอกเขา ไปว่ามา สำรวจจะทำ โทรศัพท์ และเพิ่มเลข หมายโทรศัพท์ พวกเขาเล่าให้ผมฟังว่า พวกเขามีเชื้อสาย คนไทยอยู่บริเวณ ที่ตั้งเมืองพะโคนี้ คือเมืองเก่า ที่คนไทย เรียกว่าเมืองตองอูในสมัยก่อน ส่วนตรงเจดีย์ พระเจ้าบุเรงนอง นั้น ก็คือเมืองหลวงเก่า ของพระเจ้าบุเรงนอง ส่วนเมืองที่มี พระนอนองค์ใหญ่นั้น ก็คือเมืองหงสาวดีเก่า เดิมเป็นของมอญ แต่พม่ามายึด และรวมเข้ามาอยู่ด้วยกัน และเรียกบริเวณ นี้ว่าเมืองตองอู ( แต่คนพม่า จะออกเสียงว่า ตองกูหรือ ต่องกู ) และมีซากปรัก หักพังของพระราชวังเก่า ของพระเจ้าบุเรงนอง อยู่ด้วย แต่รัฐบาลกำลัง จะบูรณะสร้างขึ้นมาใหม่ (ตอนที่ผมไป ยังไม่ได้สร้างใหม่ แต่ตอนนี้สร้าง เสร็จแล้ว) เขาบอกผมว่า อยากจะพาผมเข้า ไปเที่ยวในเขต พระราชวังเก่า ผมเลยบอกกับเขาไปว่า พรุ่งนี้ตอนเช้า หัวหน้า ทีมสำรวจ จะพาผมเข้าไปเที่ยว ก่อนเดินทางต่อไป สำรวจที่สถานีอื่น ต่อไป พวกเขาเล่า ให้ผมฟังว่า ที่บริเวณพระ นอน องค์ใหญ่นั้น เป็นชุมชนของคนไทยเก่า ที่ถูกพม่า กวาดต้อนมา และอยู่ปะปน กับพวกคนมอญ รวมทั้งในตัว เมืองนี้ด้วย บางคนก็ยังพูด ภาษาไทยกันอยู่ ถึงแม้เวลา จะเลยมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม เมื่อเวลามี คนไทยมาเที่ยว พวกเขาจะชอบ ให้ช่วยสอน ภาษาไทย ให้คนละคำสองคำ ก็ยังดี ผมก็เลยถือ โอกาสสอนภาษาไทย ให้พวกเขาไป หลายคำทีเดียว พวกเขาเล่าให้ฟังว่า ที่นี่ความเป็นอยู่ค่อนข้าง ลำบาก เศษฐกิจไม่ดี ไม่ค่อยมี นักท่องเที่ยว มาพัก ส่วนใหญ่จะกลับไป พัก ที่ย่างกุ้ง เพราะโรงแรมที่พัก จะดีกว่า

▬ ผมคุยกับพวกเขา อยู่อีกสักพักแล้ว ก็ขอตัวขึ้นไปนอน ผมถอดสร้อยพระ ที่คอออก แล้วตั้งไว้ที่ บนเตียงหัวนอน และกราบพระ และปิดไฟก่อนนอน เมื่อหัวผมถึงหมอน ผมไม่ทราบว่า ตัวเองหลับไป หรือไม่ หรือฝันไปหรือไม่? มีคนมาเคาะ ประตูห้องผม ๆ ลุกขึ้นไปเปิดประตู ดูก็พบว่าเป็น ลูกสาว เจ้าของ โรงแรม ทั้งสองคนนั่นเอง ผมถามว่ามี อะไรหรือ? คนที่เป็นพี่สาว มองหน้าผม และก็ยิ้มให้ผม และบอกผมว่า อยากจะให้ ดูอะไรหน่อย แล้วคนน้องก็คว้า มือผม ฉุนแขนผม ให้เดินตามไป ผมเดินตามไป อย่างว่าง่าย และไม่รู้ตัวเลย เราทั้งสามมาหยุดยืน อยู่สถานที่แห่ง หนึ่ง ผมถามเขา ว่าที่นี่ที่ไหนหรือ? ไม่มีใครตอบ ผมหันมองดูไปรอบๆบริเวณ เป็นลานกว้างมีบ้านทรงไทยปลูก อยู่หลายหลัง แต่ละหลังสวยงามมาก มีผู้คนมากมาย เดินกันขวักไขว่ไปหมด มีเด็กๆ กลุ่มหนึ่ง กำลังเล่น อะไรกัน อยู่ท่าทาง สนุกสนานกันมาก มีเด็กผู้หญิงสามคน และมีเด็กผู้ชาย อีกสี่คน กำลังล้อมวงเล่น อะไรกันอยู่สักอย่าง ขณะที่ผมกำลังมองดูอยู่นั้น ก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง พูดอยู่ข้างๆ ผมว่า จำฉันได้ไหม? ผมหันไปมอง ผมไม่เห็น ลูกสาว เจ้าของโรงแรม ทั้งสองแล้ว

▬ แต่มีผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตารูปไข่ผิวขาวผมยาวสวยมาก ใส่ผ้าสิ้นไหมสไบเฉียง มีเครื่องประดับ เต็มตัว ผมรู้สึกตกใจ มองหาลูกสาว เจ้าของโรงแรม ทั้งสองก็ไม่พบ ผมมองหน้า ผู้หญิงคนนั้น เธอ ยิ้มให้ผม และคว้าแขน ผมจับไว้แน่น และบอกผมว่า ตามฉันมาซิ ฉันจะพาเธอไปเที่ยว เธอพูดแล้ วก็เดินจูงมือผม ไปเรื่อยๆ ไปที่เด็ก ๆ พวกนั้น เราทั้งสองมา หยุดยืนดูเด็กๆ เล่นกัน เธอพูดขึ้นว่า เธอจำพวกเราได้ไหม ? เมื่อก่อนนี้ตอนเด็กๆ พวกเราเล่นอยู่ด้วยกัน เจ็ดคน เธอชอบทำตัวเป็นพี่ ใหญ่ และมีน้องชาย เธออีกคน ขณะที่เธอพูด ก็ชี้มือไปที่เด็กๆ เหล่านั้น และชี้ไป ที่เด็กผู้ชาย คนหนึ่งที่ตัวโต กว่าคน อื่นๆ เธอพูด ต่อไปอีกว่า ฉันคือ เด็กผู้หญิงคนนั้น เธอชี้มือไปที่ เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง และนั้น น้องชาย ฉันอีกสองคน และเธอก็ชี้มือไป ที่เด็กผู้ชายอีกสองคน ส่วนเด็กผู้หญิง อีกสองคนนั้น ก็มีศักดิ์เป็นน้อง ของพวกเรา ทั้งสองคน เมื่อเธอพูดจบ

▬ ผมกลายเป็นเด็กไป ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เราทั้งเจ็ด คนนั้งล้อมวงเล่นมอญ ซ่อนผ้ากัน ผมเป็นคน ซ่อนผ้าไว้ และนั่งทับผ้า ที่ซ่อนไว้ เธอเป็นคน ค้นหาผ้า ที่ซ่อนไปรอบๆ วง ผมหยิบผ้า ที่ซ่อนไว้ส่งต่อ ให้เด็กอีกคน หนึ่ง เธอหันมาเห็นเข้า แล้วก็วิ่งเอามือ มาตีหลังผมใหญ่เลย หาว่าผมขี้โกง เด็ก ๆ คนอื่นพากัน หัวเราะกันใหญ่ ทันใดนั้น ก็มีเสียงคนผู้หนึ่ง มาเรียกพวกเรา ให้หยุดเล่น และเรียกให้ พวกเรา เข้าไปหา เราทั้งเจ็ดคนมายืน อยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง มีผู้คนมากมาย ล้อมหน้าล้อมหลัง บางคนก็กำลังร้องไห้ แทบจะเป็นจะตาย บางคนก็นอน สลบอยู่ บางคนก็กำลัง หัวเราะร่าอยู่ อย่างสนุกสนาน แต่ละคนแต่งตัวแปลก ๆทั้งนั้น เราทั้งเจ็ดคนยืนกอดกัน เป็นกลุ่มเด็กๆ ผู้หญิงร้องไห้ มีเสียง คนผู้หนึ่งร้องขึ้น มาว่า เอาพวกมันไปให้หมด ผมหันไป ตามเสียงนั้น เห็นชาย ผู้หนึ่งแต่งตัว เหมือนลิเก ชี้มือมาที่พวกเรา มีคนผู้หนึ่ง พูดขึ้นมาว่า อย่าเอาไปหมดเลย ชายที่แต่งตัว เหมือนลิเกหันมา หัวเราะร่า และตวาดเสียง ดังลั่นว่า ไม่ได้ ขณะนั้น ผมก็ปล่อยมือ จากเด็กๆ เหล่านั้น และกระโดด ถีบชายผู้นั้น ที่มัวแต่หัวเราะ หงายท้องไป และขยับ จะตามไปชกต่ออีก ทันใดนั้น ก็มีชายอีกคนหนึ่ง เอามีดฟัน ฉับมาที่ตัวผม ๆ สะดุ้งตืน ตกจากเตียงนอน ผมรีบลุกขึ้น มาเปิดไฟสว่าง ไปทั่วทั้งห้อง ผมนั่งงง อยู่บนเตียง นอนพักใหญ่ๆ เหงื่อออกท่วมตัว รู้สึกเหนื่อย และใจเต้นตุบๆ ผมหยิบนาฬิกา ข้อมือที่วางไว้ ข้างเตียง ขึ้นมาดู เกือบจะตีห้าแล้ว

▬ ผมรีบเปลี่ยน เสื้อผ้าอาบน้ำ และเตรียมตัว เก็บของ และเมื่อผมเก็บของ เรียบร้อยแล้ว แต่เวลา ก็ยังเหลืออยู่ยัง ไม่สว่างดี ผมลงไปเดินเล่นหน้า โรงแรม อยู่สักพัก และก็กลับเข้ามานั่งคอย พวกพม่า และญี่ปุ่นที่ห้องอาหาร ลูกสาวเจ้าของโรงแรม เดินออกมา จากห้องครัว ยิ้มให้ผมถามผมว่า จะรับกาแฟ ก่อนไหม? ผมบอกว่าก็ดีเหมือนกัน ผมนั่งดื่มกาแฟ และคิดเรื่อง ความฝัน เมื่อคืนนี้เรื่อยเปื่อย ไปตาม เรื่อง สักพักพวกพม่า และญี่ปุ่นก็ทยอยกันลงมา พวกเรากำลัง ทานอาหาร เช้ากันอยู่ คนขับรถ ก็เดินมาบอกว่า รถเครื่องเสีย เดินทางต่อไปไม่ได้ ต้องรอเปลี่ยน รถคันใหม่ และอาจต้องรอ อยู่ที่นี่อีก วันหนึ่ง กว่ารถคันใหม่ จะมา พม่าหัวหน้าทีม พยายามติดต่อบริษัท รถเช่าให้รีบนำรถ มาเปลี่ยนให้ แต่ ก็ไม่ สามารถทำได้ พวกเรา จึงต้องนอน ค้างคืนที่นี่ อีกคืนหนึ่ง

▬ ในระหว่างที่รอรถมาเปลี่ยน อยู่นั้น พม่าหัวหน้าทีม และญี่ปุ่นบางคน ก็หาเช่ารถคันใหม่ ไปตีกอล์ฟกัน ส่วนผม ไม่ชอบตีกอล์ฟ ก็หาหนังสือ มานั่งอ่านเล่น ค่าเวลาไป เรื่อยๆ อยู่ในห้องรับแขกหน้าโรงแรม ต้องขอหยุด แค่นี้ก่อนนะครับ เอาไว้เล่าต่อตอนหน้า นะครับ

▬ ถึงท่านสมาชิก ทุกท่าน ใครมี เนื้อเพลง ซื้อ Stony ของ Lobo บ้างครับลอง ฟังและร้องดูนะครับ อาจใช้เป็นเพลง ประจำ เวปได้นะครับ ทุกคนอาจจะรักกันมากขึ้น ก็ได้ครับ เวลาผมคิดถึงท่านทั้งหลาย ผมก็จะ ฮัม เพลงนี้แหละครับ แล้วก็ บทกวีที่ผมแต่ง ให้ท่านไปครับ จำได้ไหมครับ ว่าบทไหนเอ่ย (ไม่รู้ว่ามีใครตั้งชื่อให้ หรือยัง ก่อนไปพม่านะครับ ) ? สวัสดีครับ ( คนหาพลอย ) 17/8/04

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1661