อาถรรพ์ของพลอย ภาค 27

เล่าเรื่องโดย ... คนหาพลอย

▬ สวัสดีครับ ตอนที่แล้วผมบอกท่านว่า จะเล่าเรื่องเศษหิน และเศษเพชรพลอยให้ฟัง ผมจะขออธิบายอย่านี้นะ ครับ รู้สึกว่าในเว็บจะมีอยู่กระทู้หนึ่งมีคนถาม ว่าจะนำหินมาประดับข้อเท้าได้หรือไม่ ? ผมก็กลัวว่าท่านทั้งหลาย จะนำไปใช้ในทางที่ผิด ผมจึงอยากจะนำเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านฟังก่อน ท่านอ่านแล้วจับใจความดีๆ นะครับ ผมไม่ ได้บังคับให้ท่านเชื่อ ผมเป็นแต่เพียงเล่าให้ท่านฟัง และผมขอสรุปอธิบายก่อนนะครับ ในตำรารัตนชาติ และคัมภีร์ โบราณ นั้น จารึกไว้ว่า ผู้ใดถืออัญมณีที่มีตำหนิ หรือแตกร้าว หรือมีมลทินอยู่ภายใน คล้าย หัวฝีหนอง ผู้นั้นจะมีภัยจะประสบความยุ่งยากต่าง ๆ นานา ประการ ผู้ใดนำไปใช้ในทางที่ผิด ไม่ให้ความ เคารพ ในคุณค่าของรัตนชาติ ผู้นั้นจะไม่เจริญ ผู้ใดเห็นคุณค่าในความเป็นรัตนชาติ ไม่ว่ารัตนชาติ ใดๆ แม้จะมีตำหนิหรือแตกร้าว ละเอียด หรือเป็นฝีเป็นหนองอยู่ภายใน สักเพียงใด ผู้นั้นจะเจริญด้วย รัตนทรัพย์สมบัติทั้งปวง จะแคล้วคลาดปราศจากภัยทั้งปวง (ท่านตีความหมายออกหรือไม่ครับ ? )

▬ เรื่องราวในตำราโบราณนี้ไม่จำเป็นจริงๆ ผมไม่อยากนำมาเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังหรอกครับ มันตีความได้ หลายแง่หลายมุม และหากผู้ที่ไม่เชียวชาญด้านภาษาโบราณจริงๆ ก็จะทำให้ความหมายนั้นผิดเพี้ยนไป และอาจจะไปขัด ผลประโยชน์ด้านการค้า อีกนะครับ ผมจึงได้เลี่ยงมา ไม่เล่าเรื่องในตำรานพรัตน์ให้ท่านฟัง อย่าง ไรละครับ ก็ด้วยเหตุนี้แหละครับ แต่ครั้งนี้ ผมต้องนำ บางส่วนมาเล่าให้ฟังครับ เห็นว่าจำเป็นแล้ว และเมื่อสองสามปีมาแล้ว ผมเห็นว่า ธุรกิจขายหินสีทั้งหลายกำลังเฟื่องฟู มีทั้งขายของแท้และของเทียม หลอก ลวงกันสารพัดอย่าง เพื่อหวังผลกำไร คนที่ขายก็จะหวังแต่กำไร ส่วนคนที่ซื้อก็เอาไปใช้ ในทางที่ผิดๆ เอาไปประดับเพื่อความสวยงามบ้าง

▬ เห็นเป็นเพียงแค่ หินธรรมดา แร่ธาตุธรรมดา มองข้ามคุณค่าบางอย่าไป ตอนนี้เลยพากัน ตกกระกำลำบากไปทั้ง ผู้ขายและผู้ซื้อ ส่วนผมเองได้แต่คอยดูอยู่ห่างๆ คอยดูว่าต่อไปพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป และพวกเขาจะรู้หรือไม่ว่าคุณค่าของธรรมชาตินั้น ไม่ได้มีแค่ความสวยงามอย่างเดียว มันยังแฝงไว้ด้วยคำสาป แช่ง และคำอวยพรสรรเสริญต่าง ๆ นาๆ ให้กับผู้ที่ครอบครองมันไว้ พวกเขาเกิดมาอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนพวกเรา เป็นล้าน ๆ ปี เราไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอะไรแน่ รู้แต่เพียงว่า เป็นแร่ธาตุต่างๆ เท่านั้นเอง ชีวิตจิตวิญญาณของพวก เขาเราไม่รู้ คนเรานั้น มีอายุ อย่างมาก แค่ร้อยปี หากนับเป็นวัน ก็แค่ 365x100 = 36,500 วันแค่นั้นเองสั้นนิดเดียว เทียบกับพวกเขาไม่ได้เลย เราตายไปแล้วเขาก็ยังอยู่ เราพบพวกเขามากมายบนโลกใบนี้ แต่เราไม่เคยพบ ซากฟอสซิล มนุษย์อายุ เป็น พัน ๆ ล้านปีนะครับ

▬ ร่างกายของคนเรานั้นหากนำมาแยกก็จะได้แร่ธาตุต่างๆ เหมือพวก เขานั่นแหละครับ ส่วนจิตวิญญาณของพวกเราเอง ก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้เลย และเรายังคิดเห็นแก่ตัว อีกว่าสิ่งของเหล่านั้นไม่มีชีวิตจิตใจ นี่เป็นเพราะว่าเราเห็นแก่ตัว มองไม่เห็นคุณค่าของคนอื่น คิดแต่เอาเปรียบเขา ท่านเคยสังเกตหรือไม่ครับ ในตำราโหราศาสตร์ทั่วไปนั้น ลืมดวงดาวไป ดวงหนึ่งนะครับ แต่ชอบจะเอาไปไว้ตรงศูนย์กลาง ของการทำนาย ต่างๆ ดาวดวงนั้นก็คือโลกของเราใบนี้แหละครับ เอาไว้ผมจะเล่าเรื่องนี้และตีความ หมายบางอย่างให้ท่านฟังทีหลังนะครับ เพราะผมเองก็ไม่ใช่หมอดูหรือนักโหราศาสตร์ อะไร เพียงแต่ผมพบอะไรเจออะไรก็เล่าให้ท่านฟัง และท่านต้องใช่วิจารณญาณในการอ่านและตีความหมายเอาเองนะครับ

▬ และที่ผมเล่าเรื่องนี้ก่อนก็เพราะว่า ผมอยากให้ท่านที่สะสม หินและอัญมณีพวกนี้ อย่างมีคุณค่าครับ หากเรามองเห็นคุณ ค่าของทุกสิ่งบนโลกใบนี้ได้ เราก็จะรู้จัก นำคุณค่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ เราสามารถแยกแยะอะไรดีอะไร ไม่ดีออกได้ เราก็จะกลายเป็นคนที่มีคุณธรรม เป็นคนที่มีความดีอยู่ในตัว คนดีเมื่อไปอยู่ที่ไหน ก็มีแต่คน อยากมา อยู่ใกล้ ๆ อยากมาร่วมงานด้วย อยากมาพูดคุยด้วย ครับ หากท่านเป็นคนดีจริงๆ แล้วไม่ต้องกลัวคนอื่นเขาเอาเปรียบ หรอกครับ และไม่ต้องกลัว คนอื่นเขาจะว่าท่านเป็นคนโง่ ด้วยครับ หรือโดนคนอื่นเขาหลอกใช้ครับ เพราะท่านเป็นคนดี แบบมีเหตุผล มีเมตตา ความดีจะคุ้มครองท่านใครที่เอาเปรียบท่านเขาก็จะเดือดร้อนเองแหละครับ โลกนั้นเปลี่ยนแล้วครับ เมื่อก่อนมีคนพูดว่า คนดีทำดีไม่ได้ดี คนชั่วทำชั่วแล้วได้ดี แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วครับ คนดีจะต้องได้ดี คนชั่วหากไม่กลับใจ ก็จะพบแต่ความวิบัติครับ มาปีนี้ผมคิดว่ากลุ่มคนเหล่านั้น และท่านทั้งหลายที่ได้อ่านบทความนี้ คงได้เห็นแล้ว ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ผู้ค้าที่ไม่หลอกลวงก็อยู่ได้ ส่วนพวกที่หลอกลวงก็ไม่แข็งแรงพอและหายไปจากวงการนี้บ้างแล้ว ส่วนผู้ซื้อที่เห็นคุณค่าในความเป็นธรรมชาติ และนำไปใช้ และดูแลรักษาอย่างดี ก็พบแต่ความสุข ไม่ขัดสน ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง ส่วนพวกที่ไม่เห็นคุณค่าก็มีอันเป็นไปต่างๆ นาๆ และผมก็คิดว่าพวกเขาคงเข็ดแล้ว และหากยังมีอยู่ก็คงเก็บสะสมของพวกนี้อย่างมีคุณค่า ที่ผมสรุป อธิบายมา ท่านทั้งหลายคงพอเข้าใจบ้างแล้ว

▬ และผมจะเล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ท่านฟัง ฟังนะครับ เพื่อเตือนใจ เล่าเรื่องโบราณไม่นานมานี้ก่อนนะครับ (ในเมืองไทยจังหวัดไม่ขอบอก) นานมาแล้วมีเศรษฐีสามีภรรยาคู่ หนึ่งร่ำรวยเงินทองมากจากการค้าขาย นำเงินทองที่ได้ ไปซื้อเพชรพลอย มาเก็บไว้ มากมาย อยู่มาภรรยา ให้กำเนิดลูกสาวฝาแฝดสองคนฝ่ายเศรษฐีผู้เป็นสามีดีใจมาก นำเพชรพลอยที่มีอยู่ ไปทำตะปิ้ง ( ตะปิ้ง คือ ที่ปิดของสงวนเด็กๆ ในสมัยก่อน ) ให้เด็กสาวทั้งสอง นำทองคำไปทำกำไลข้อเท้า และข้อมือ ช่างทองที่ทำให้ เมื่อทำเสร็จ นำของทั้งสามอย่างไปให้เศรษฐี และเมื่อได้รับค่าตอบแทนแล้ว เขาได้บอกกับเศรษฐี ว่า กำไลข้อเท้าและข้อมือนั้นมีคนมาจ้าง ให้ทำมากมาย แต่ตะปิ้งที่ทำจากทองคำประดับเพชรพลอยแบบนี้ ไม่เคยมีใครมาจ้างให้ทำ ฝ่ายเศรษฐี สามีภรรยาทั้งสองดีใจมาก ไม่ได้เฉลียวใจในคำพูดของช่างทอง นำของทั้ง สามอย่างไปใส่ให้เด็กสาวทั้งสอง จนเป็นที่เลื่องลือกันทั้งหมู่บ้าน บางคนยกย่องเศรษฐีว่าร่ำรวย บางคนว่าจะ เกิดอาเพศ กับครอบครัวเศรษฐี

▬ ข่าวนี้รู้ถึงสมภาร วัดแห่งหนึ่ง ท่านสมภาร ได้ไปเยี่ยม เศรษฐีทั้งสองที่บ้าน ก่อนจะลากลับ ท่านสมภาร ได้ขอบิณฑบาต ตะปิ้งกับท่านเศรษฐี แต่กลับโดนเศรษฐีสองสามีภรรยา ขับใสไล่ ส่ง และด่าทอต่างๆ นา ๆ อยู่มาไม่นานเศรษฐีทั้งสองก็ ค้าขายไม่มีกำไร เงินทองที่สะสมไว้ก็หมดลง และล้มป่วย และเสียชีวิตไปในที่สุด ส่วนเด็กสาวทั้งสอง ญาติพี่น้องของเศรษฐีได้นำไปเลี้ยง และเมื่อเธอเติบโตขึ้นก็พบกับ ความลำบากตลอดทั้งชีวิต ( ต้องขอโทษเรื่องนี้ ผมไม่อยากเล่าต่อครับ ญาติพี่น้องเขาจะสะเทือนใจเอา)

▬ อีกเรื่องหนึ่งในจังหวัดเดียวกันนี่แหละครับ มีเศรษฐีเจ้าของเหมืองพลอยรายหนึ่ง เขาขุดพบพลอย ดีๆ มากมาย และได้ขาย พลอยดี ๆ จนร่ำรวย ส่วนพลอย ที่คุณภาพไม่ดี ก็ทิ้งไว้ส่งเดชไม่เห็นคุณค่า และหินพลอย จำนวนมาก ที่ไม่พบพลอยคุณภาพดี ได้ถูกนำไป รวมกับกรวดทราย ปูลาดไปตามทางเท้า เป็นถนนสำหรับเดิน และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เขาไม่เคยขุดพบพลอย คุณภาพดีอีกเลย และเขามีฐานยากจนลงเรื่อยมา อีกเรื่องหนึ่งในจังหวัดเดียวกันนี้อีกครับ มีสองสามีภรรยาคู่หนึ่งยากจนมาก มีอาชีพหาเก็บของเก่าขาย อยู่ มาวันหนึ่งพวกเขาได้ไปคุ้ยขยะกองหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านพ่อค้าพลอยรายหนึ่ง เขาพบก้อนกรวดเล็กๆ หลายสีมากมาย ปะบนอยู่กับหินดินทราย เขาช่วยกันเก็บ กรวดหินดินทราย เหล่านั้นกลับมาที่บ้าน ตอนกลาง คืนพวกเขาทั้งสองฝันเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมาหาที่บ้าน และบอกพวกเขาว่า หากอยากร่ำรวย ก็จงเอา กรวดหินดิน ทรายเหล่านั้น จำนวนหนึ่ง บูชาไว้ที่แท่นบูชาพระ ส่วนที่เหลือก็ให้นำไปฝังดินไว้ เมื่อตื่นขึ้นมาพวกเขาทั้งสอง ก็ทำตาม โดยนำ หินจำนวนหนึ่งมาล้างน้ำให้สะอาจ แล้วใส่ถ้วย นำไปตั้งบูชาไว้บนหิ้งพระ แล้วนำที่เหลือ ไปขุด หลุมฝังดินไว้หลังบ้าน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สองสามีภรรยาก็พบแต่ของดีมีราคา ขายได้มีเงินเก็บมากมาย และกลายเป็นเจ้าของโรงรับจำนำ ในจังหวัดใกล้เคียงกัน และต่อมาเขาก็ได้เป็นเจ้าของร้านอัญมณีชื่อดังอีก

▬ และ เมื่อมาถึงรุ่นลูก เขาได้เล่าเรื่องนี้ให้ลูกเขาฟัง ก่อนที่เขาจะยกกิจการ ทั้งหมดให้ลูกเขาดูแลต่อไป แต่ลูกเขาไม่ได้ สนใจ ยังคงดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างรุ่งเรือง เมื่อสองสามีภรรยาตายไป ลูกเขาทำการปลูกบ้านหลังใหม่ให้ ใหญ่ โตกว่าเดิม และเมื่อเขารื้อบ้านหลังเก่าออก เขาพบ ถ้วยใส่กรวดทรายจำนวนหนึ่ง วางอยู่บนโต๊ะหมู่บูชาพระ เขาหยิบมาดู เห็นเป็น เศษหินและเศษเพชรพลอย แตกๆ ร้าวๆ หักๆ ใช้การอะไรไม่ได้เลย เขาเอาไปโยนทิ้งที่กอง ขยะข้างรั้วบ้าน และเก็บขยะจาก บ้านหลังเก่า มารวมกันไว้ที่กองขยะ พอตกเย็นก็เอาไฟเผาขยะทิ้ง เมื่อบ้านหลัง ใหม่สร้างเสร็จ ก่อนที่เขาจะเข้าไปอยู่ เกิดไฟไหม้บ้านทั้งหลัง โดยไม่ทราบสาเหตุ เขานึกถึงคำพูดของพ่อแม่ที่เล่า ให้ฟังไว้ก่อนตาย หลังจากนั้นเขาก็เข้าวัดทำบุญ อยู่เป็นประจำ และย้ายไปอยู่ที่อื่น และไม่มีใครรู้ข่าวของเขาอีกเลย นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศเรานะครับ จริงๆ แล้วมีมากกว่านี้อีก

▬ จะยกตัวอย่างอีก มีชายผู้หนึ่งร่ำรวยจากการที่เขารู้วิธีการ เผาพลอยให้มีสีสวยงาม และมีชื่อเสียงดัง ไปทั่วโลกก็ว่าได้ครับ เขาหลงละเริงกับวิชาที่เขามี มีคนต่างชาติมาขอให้เขาสอนวิชานี้ให้ และให้เงินค่าตอบแทนเป็นเงินหลายล้านบาท วันหนึ่งเขาก็สอนวิชานี้ให้กับ ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ผู้หนึ่งไป และสอนให้กับชาวต่างประเทศอีกหลายคนไป และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ความร่ำรวยของเขาก็ลดลง จนทุกวันนี้ มีบางคนบอกผมว่าเขาเหลือแต่ตัว ส่วนชาวต่างชาติเหล่านั้น ก็ไม่ประสบ ความสำเร็จในการทำให้สีของพลอยสวยขึ้นแต่อย่างใด ผมก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ปัจจุบันเขายังมีชีวิต อยู่นะครับ อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัว ท่านทั้งหลายในเว็บนี้มากครับ

▬ มีร้านขายเครื่องประดับหินและพลอยอัญมณีต่าง ๆ แบบเดียวกับ ที่ท่านทั้งหลายกำลังทำอยู่นี่แหละครับ ร้านนี้อยู่ในห้างดัง แถวมีนบุรีครับ มีทั้งของแท้ และของเทียม วันหนึ่งมีแขก (ผมไม่ทราบว่าปากี หรือ อินเดีย ทราบแต่เพียงว่าเป็นแขก ) นำ C Z ( cubic zirconia ) เจียรไนย เป็นพลอยหลายชนิด มาขายให้ในราคาถูก มาก ๆ เจ้าของร้านได้ซื้อ C Z นี้ไว้ และได้นำไปทำตัวเรือน เป็นแหวนบ้าง เป็นจี้บ้าง ขายในราคาที่ถูกกว่าของ แท้นิดหน่อย และบอก ลูกค้าที่มาซื้อว่าเป็นของแท้ และของของเขาก็ขายดีมาก มีทั้งขายส่งและขายปลีก เจ้าของร้านผู้นี้ ก็สั่งของเข้ามาตุนไว้ในสต๊อกมากมาย หวังฟันกำไรเต็มที่ แต่ อนิจจา หลังจากนั้นอีกไม่กี่เดือนต่อมา ของก็ขายไม่ออก กลับมีหนี้สินมากมายแทบล้มละลาย ในปัจจุบันก็ยัง หลบ ๆ ซ่อน ๆ เจ้าหนี้ แม้แต่เพื่อนผม ยังสงสารยังยกหนี้ให้เลยครับ และพวกที่ซื้อพลอย C Z ไปขายต่ออีก ที ในปัจจุบันนี้ ท่าน ไป ดูพวกเขาซิครับ แหล่งใหญ่อยู่ที่ สะพานข้ามแม่น้ำแคว เมืองกาญจนบุรี นี่เองครับ เขารับไปขายอีกทีครับ ผมเองเสียดายมากๆ ไม่ใช่เสียดายพลอยนะครับ เสียดายคนขาย ครับ ยังเป็นสาว ๆ น่าตาน่ารักทั้งนั้นเลยครับ สาวเมืองกาญจนบุรีเนี่ย ผมแกล้งถามว่า นี่พลอย อะไร ? เขาตอบว่า อเมทีส คะ แถมย้ำอีกว่า ของ แท้นะคะ ผมถามต่ออีกว่า มาจากไหน ? เขาตอบว่า แอฟริกา คะ ผมถามต่ออีกว่า รู้ได้อย่างไรว่าของแท้ ? มีเสียงห้าว ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่ง ตอบ แบบ ตะคอก ๆ ว่า ที่นี่ขายแต่ของแท้คะ ไม่ขายของปลอม ไม่ซื้อแล้วยัง เรื่องมากอีก ผมได้แต่มองหน้าสาวสวยคนขาย แล้วพูดเบา ๆ ว่า ครับ C Z แท้ ๆ จริง ๆ แล้วผมก็เดินจากไป ผมเดินมาที่ลานจอดรถก่อนที่ผมจะขับรถออกมา มีคนมาเช็ดกระจกให้ผม ๆ ถามคนเช็ดกระจกว่า ร้านขายพลอย ที่นี่ขายดีไหม ? เขารีบตอบว่า โอ้ยพี่ ไม่มีใครซื้อหรอกครับ มีแต่พวกนักท่องเที่ยวเท่านั้นแหละครับที่ซื้อ บางวัน ก็ขายไม่ได้เลยสักบาท บางวันมีลูกค้ามาด่าถึงหน้าร้านอีก เมื่อผมได้ ฟังผมก็ให้เงินค่าเช็ดกระจกแล้ว ก็ขับรถกลับบ้านครับ

▬ หากท่านว่างก็ ลองไปดูนะครับ สะพานข้ามแม่น้ำแคว กับพลอยกระจก แถวนั้นมีที่เที่ยวเยอะนะครับ หากขายของแท้มากๆ ก็อาจจะมีคนไปเที่ยวมากๆ กว่านี้อีกนะครับ ท่านเจ้าเมืองไปตรวจดูก็ได้นะครับ นี่ผมเห็นว่าสาวเมืองกาญจนบุรีทำกับข้าวอร่อยนะ ไม่อย่างนั้นละก็ .... ขายของเทียมไม่ถูกใจผมแค่นั้นเอง (ล้อเล่น จริงๆนะ) หากคนเมืองกาญจนบุรีมาอ่านพบเข้าก็อย่าโกรธกันนะครับ ไม่รักกันจริงไม่บอกหรอกครับ ฮิ ฮิ เดียวคนเมืองกาญอ่านเจอเข้าจะน้อยใจเอา แต่ถ้าให้ผมเล่า ให้ฟังร้านในกรุงเทพ เกือบจะทุกร้านผมก็ไปเดินมาแล้วนะครับ ขนาดร้านแถวพัทยา ที่ไม่ยอมให้คนไทยเข้าไปในร้าน ผมยังเข้าไปได้เลยครับ แถมผมยังรู้อีกว่า ของชิ้นไหนในเป็นอะไร วางอยู่ตรงไหนในร้าน ฮิ ฮิ

▬ ว้า ผมไม่ทำร้ายน้ำใจกัน ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมไม่ได้เป็นคนก้าวร้าวหรอกครับ เช่นบางครั้งผมไปยุโรป ฝรั่งบางคน ถามผมว่า ทำมัยคนไทยชอบเอาของเทียมมาขายเป็นของแท้ละ ? หากผมอารมณ์ไม่ดี ผมก็จะตอบเขาไปว่า ของเทียมนั้น คนไทยยังทำไม่ได้ แต่คนไทยได้ซื้อของเทียมที่ทำจากยุโรปและขายเป็นกิโลถูก ๆให้คนไทย แล้วคนไทยก็นำไปเจียรไนย ให้สวยงามขายกลับ มาให้คนยุโรป เป็นกะรัตครับ เป็นการเพิ่มมูลค่าของให้สวยงามขึ้นครับ จะได้ไม่ไปทำลายธรรมชาตินะครับ เพราะในเมืองไทย มีพวก NGO แยะมากครับ ผมพูดเสร็จผมก็เดินกลับ ไม่ไปสนใจว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร และขนาดผมไป เมืองจีนบ่อย ๆ เวลาผม เจอ พวกที่เคยมา ทัวร์ ศูนย์เหรียญ ที่เคยมาเที่ยวเมืองไทยชอบมาพูด ให้ผมฟังว่าเนี่ยนะ ไปเมืองไทยมา ถูกหลอกให้ ซื้อแหวนมาวงหนึ่ง แพงมาก แล้วเขาก็ยื่นนิ้วมือที่สวมแหวนมาให้ผมดู แล้วก็บอกราคาผม เมื่อผมเห็น แล้วผมก็ได้แต่นึก ในใจว่า ก็สมควรแล้วนี่ เพริดอต น้ำงาม ผ่านการฉายแสง จากเมืองจีนแท้ ๆ ล้อมด้วยเพชร โมอีส (เพชรโมอีส เป็นเพชรสังเคราะห์ ที่เหมือนของจริงมากที่สุด และราคาแพง มากบางร้านในกรุงเทพขายกะรัตละ สองหมื่นบาทแนะครับ ไม่เชื่อก็ไปดูแถว ๆวงเวียน ใกล้ ๆกระทรวงมหาดไทยซิครับร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวกับเพชรพลอยนี่แหละครับ ) ผมมองดูนิ้วมือของเขาแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่า ใส่จนนิ้ว จะขาดอยู่แล้วยังมาบ่นอีกพลอยก็เป็นของเมืองจีนแท้ ๆ แค่เอามาเพิ่มมูลค่าความสวยงามในเมืองไทยแค่นั้นเอง

▬ ท่านทั้งหลายระวังนะครับพลอย ที่ฉายแสงทั้งหลายนั้นเช่น เพริดอต และ โทปาสสีฟ้า ฯ นั้นหากท่านนำมาทำแหวนใส่ แล้วต้องระวังให้มากนะครับนิ้วท่านอาจจะขาดได้ เพราะยังมี รังสีตกค้างอยู่ครับ ท่านเห็นหรือยังครับว่าประเทศไหนทำของเทียมไว้ ของเทียมนั้นก็กลับไปเล่นงาน คนของประเทศนั้นแหละครับสมน้ำหน้า ส่วนในเมืองไทยก็มีโรงงาน ทำของเทียมแล้วนะครับ เอาไว้ท้าไม่เลิกทำเขาก็จะเดือดร้อน เองแหละครับ ส่วนพวกที่ชอบซื้อหินอัดย้อมสีไปใส่ ก็ต้องระวังด้วยนะครับ ใส่ไปก็นึกถึงลิง ไปด้วย เพราะต้อง เกาอยู่ตลอดเวลา และหากคนที่แพ้พวกสารเคมีด้วยแล้วก็จะ เป็นผื่นแดงขึ้นเป็นตุ่มๆอีก เพราะของพวกนี้ จะมีวิญญาณสารเคมี ติดตามท่านไปด้วย เห็นมัยครับแม้แต่สารเคมี ยังมีอาถรรพณ์ทำให้ท่าน คันไปทั้งตัวได้ ส่วนคนที่ซื้อ ของแท้ไปใส่ บางคนก็อยากจะเห็นปรากฏการณ์ เหนือธรรมชาติ อยากเห็นแสง อยากเห็นเทวดา และหวังให้เกิด อำนาจ และสิ่งเร้นลับต่าง ๆ นาๆ นั้น

▬ เอ้เรื่องนี้ผมเอาไว้เล่าตอนหน้า ดีกว่านะครับ เดี๋ยวข้อความมันจะใหญ่เกินไป ส่งไปไม่ได้อีก มันคิดค่าส่งผมเป็นครั้ง ครั้งละเกือบสิบเหรียญแน่ะครับ และหากความ ตัวใหญ่เกินกว่า 1 MB มันก็คิดผมอีก หนึ่งเท่าตัวเลยแหละครับท่าน หุ หุ หนาว จริง ๆ ผมก็เล่าเพลินไปเลย อาจเป็นเพราะผมคิดถึงพวกท่านก็ได้นะครับผมยังพอจำชื่อท่านสมาชิกได้นะครับ เช่น .....

▬ ทีมงาน Stonelover Club , (ทั้ง Club มีกี่คนละครับ?) คุณแอ้ม(มีลูกอีกคนแล้ว?) คุณดาวเคราะห์น้อย (ดวงไหนเอย?) คุณคนง่วงนอน (แสดงว่าไปเทียวทุกคืน) คุณเคน คุณไหมทอง คุณ J J คุณมุณี คุณนีนา (จังหรือป่าว? ) คุณแกงป่า (เผ็ดไหม ? ) คุณ*!* (ดาวอะไรละเนี่ยเปลื่ยนรูปดาวนะครับ บนฟ้าดาว ดอเด็กไม่มีด้วยแหละฮิ ฮิ ล้อเล่นนะครับ) คุณเริ่มรักหิน (นี่ก็น่าจะรักตั้งนานแล้ว) คุณเพ็ชร (เพชรมี ไม้ไต่คู้ด้วย) คุณปูจ๋า(อยาเดินขาเป๋นะ) คุณน้ำส้ม (เปรี้ยวหรือป่าว?)และป้าไก่ (ผู้ใจดี) เอ๋มี สมาชิกยังไม่ถึงยี่สิบคนเลยนะ หรือผมลืมชื่อใครไปหรือป่าวเนีย อ้อ ลุงดอนรูปหล่อหัวล้าน งัย ครับเกือบลืมเลย แล้วก็คุณBambi คนดี จากเว็บของม.ศ.ว ทุกท่านสบายดีนะครับ ? ส่วนผมสบายดีครับ แค่นี้ก่อนนะครับเดียวตอนหน้าค่อยเล่าต่อนะครับ อ้อเกือบลืมไป แล้วหน้าบ้านของ Stonelover เปลื่ยนไปหรือยังครับ? อย่าลืมหนาาาา บ้านท่านขายหินเอาหินมาประดับหน้าบ้านบ้างนะครับ เอาตัวหนังสือมาประดับอย่างเดียวเดี๋ยวหินจะน้อยใจเอาไม่ยอมไปไหนนอนเฝ้าบ้านให้ท่านทั้งวันอาจไม่ยอมไปช่วยท่านหาเงินหนาาา มัวไปหลบซ้อนตัว เลยไม่ได้พบคนที่รักจริงสักกะที สวัสดีครับ

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1541