อาถรรพ์ของพลอย ภาค 14

เล่าเรื่องโดย ... คนหาพลอย (ต่อจากตอนที่แล้วนะครับ)

▬ สวัสดีครับ วันหยุดผมได้กลับไปบ้าน ได้ซื้อทุเรียน ไปฝากแม่ ด้วยครับ ทางบ้านผมชอบกินทุเรียนกัน ผมมีเคล็ดลับวิธีการเลือกซื้อ ทุเรียนให้ได้ดีและ อร่อย มาฝากด้วยครับ ก่อนซื้อ ดูที่ขั้วหรือก้าน ของทุเรียนก่อนนะครับ ดูที่ก้านใหญ่ ๆ แก่ๆ ตั้งแต่บนจุกของลูกทุเรียน หรือโคนขั้วของมัน ที่ติดกับ ลูกทุนเรียน จนถึงปลายของขั้วมันที่เขาตัดเลยครับ ให้ใหญ่เท่ากันตลอด ทั้งก้านเลย (หากตรงขั้ว ที่ติดกับ ลูกใหญ่แต่เรียวเล็ก มาจนถึงตรงปลายรอยตัด อย่าซื้อนะครับ ถ้าซื้อต้องผ่าดูเนื้อก่อนนะครับ ) แล้วดูพูของทุเรียนเลือกที่พูสวย ๆ หนามของทุเรียนไม่ถี่ ไม่ห่างกันเสมอกัน เกือบทั้งลูกนะครับ ลูกนั้นรับรอง อร่อยแน่ครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วพู และหนามของมันไม่สำคัญ เท่าก้านของมันครับ ก้านใหญ่ ๆ โต ๆ ยิ่งดีครับ และมีกลิ่นหอมบาง ๆ ไม่มากเกินไป หากมีกลิ่นหอมมากอาจแก่จัดไป เนื้อในจะเละ กินไม่อร่อย ลองนำไปใช้ดูนะครับ หากใครชอบทุเรียน

▬ อีกเรื่องหนึ่ง ผมกลับไปบ้านครั้งนี้ผมได้ไปเยี่ยมคุณครูของผมด้วย คุณครูคนนี้ท่านเป็น ครูประจำชั้น สอนหนังสือผม ตั้งแต่ชั้นประถมปีที่หนึ่ง ถึงปีที่สีเลย ตอนนี้ท่านเกษียณ อายุราชการแล้ว ท่านไม่ค่อยสบาย แม่ผมบอกผมว่าคุณครู ไม่สบายไปเยี่ยมคุณครูซิ ผมเลยขับรถไปที่ตลาด ไปซื้อสร้อยทอง หนักหนึ่งบาท และพระพุทธชินราชเลี่ยมทององค์หนึ่ง ไปให้ท่าน ตัวผมเองคิดว่า ผมให้ คนอื่นมาเยอะแล้ว ผมลืมให้คุณครูของผมไป ความจริงผมก็มีครู หลายคนแต่คนนี้ผมรักมาก ตอนเด็ก ๆ ผมกลัวท่านมาก เวลาเด็กนักเรียนทำผิดท่านจะลงโทษ โดยการให้ร้องเพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี และต้องร้องไห้ดัง ๆ ด้วย ท่านบอกว่าจะเป็นเด็กดีได้ จะเป็นคนเก่งได้ ต้องร้องสองเพลงนี้ได้ บ้างทีท่านก็ให้แต่งเรียงความ โดยให้หัวข้อเรื่องว่า คนดีทำอะไรบ้าง คนชั่วทำอะไรบ้าง มาส่งท่าน ตอนผมอยู่ ประถมปีที่หนึ่งถึงปีที่สามผมไม่เข้าใจ พออยู่ประถมสี่ ก่อนจะขึ้นประถมห้า ต้องเปลี่ยนครูประจำชั้นผมจึงเข้าใจ ท่านบอกว่าเด็กนักเรียนที่ท่านสอนไป ก่อนขึ้นประถมห้าเป็นเด็กดีทุกคน ก่อนขึ้นประถมห้าท่านยังบอกอีกว่า หากมีปัญหาแล้วแก้ไม่ได้ ก็ให้ร้อง เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี รับรองจะแก้ปัญหาได้ คำสอนนี้ ทุกวันนี้ผมยัง เอามาใช้อยู่เลย เพราะผมทำงานกับบริษัทเอกชน แต่ส่งงานให้หน่วยงาน ราชการเช่นองค์การโทรศัพท์ ผมไม่ยอมให้ประเทศชาติผมเสียเปรียบใคร และก็ไม่ยอมให้บริษัทที่ผมทำงานด้วย เสียเปรียบใคร ประเทศของผมกับบริษัทเอกชนต่างชาติ ที่ผมทำงานด้วย ก็ไม่เคยเอาเปรียบกันเลยครับ หากผมทำงานให้ หากมีเวลาผมจะเล่าให้ฟัง ผมกลัวว่าจะไม่ได้ตอบแทน พระคุณของคุณครูผม เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ผมก็ไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรดี ผมไม่เคยเห็นท่านตีนักเรียนคนไหนเลย แต่ไม้เรียวท่านใหญ่มากขนาดสองนิ้วได้ ยาวเมตรกว่า ๆ พวกชาวบ้านก็รักท่านมาก ผมเอาของไปให้ ท่านๆบอกรวยนักหรือ งัย? ท่านเอาแต่พระเลี่ยมทอง ส่วนสร้อยทองท่านบอกว่า จะเอาไปขายเอาเงิน ไปทำบุญ เป็นค่าอาหารกลางวัน ให้เด็กนักเรียนผมเลยทำบุญกับท่านไปอีก หนึ่งพันบาท

▬ เอาแหละครับเข้าเรื่อง มรกตต่อดีกว่า ผมขอเล่าต่อจากตอนที่แล้วครับ พวกเราทุกคนลุกขึ้นยืน มองไปรอบ ๆ มองหาภูเขาและถ้ำ ด้านหลังเราเป็นภูเขาที่เราทำงานกัน เบื้องหน้าเรา ไม่มีภูเขา และถ้ำมรกตแล้ว ขณะนี้ ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีเขียว มรกตเข้มไปแล้ว มีสายฟ้าแลบเป็นสีเขียว สีแดง สีชมพู สีฟ้า สีเหลือง บ้างครั้งแลบเป็น สีรุ้งเจ็ดสี บ้างครั้ง แลบบานเหมือนพลุดอกไม้ไฟ แต่ไม่มีเสียงฟ้าร้อง ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีแดง ชมพู และม่วง แล้วค่อย ๆจางหายไป บนพื้นดินเหลือไว้ แต่ไร่ข้าวโพดแซมด้วยต้นกัญชา

▬ เราหันมามองหน้ากัน เราย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้นแทบจะพร้อมกัน ผมก้มกราบพื้นสามครั้ง หัวหน้าคนงานทั้งสองทำละมาดตามศาสนามุสลิม ญี่ปุ่น ก็ยกมือพนมก้มหัวลงหมอบลงกับพื้น ผมลุกขึ้นยืนมองไปข้างหน้าน้ำตาซึมด้วยความตื้นตันใจ ท้องฟ้าเริ่มสดใสแสงแดดอ่อนๆ ส่องลงมา มองเห็นทิวทัศน์ ได้กว้างไกล ผมนึกในใจเป็นเวลานานมาแล้วที่ไม่สามารถมองเห็น ทัศนียภาพ ได้ไกลขนาดนี้ เราเก็บของชวนกันเดินกลับสถานี ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยในระหว่างทาง พอมาถึงสถานี พบคนงาน กำลังรอพวกเราอยู่ คนงานสามสี่คน เดินเข้ามาหาพวกเรา และเข้าไปพูดกับ หัวหน้าคนงาน หัวหน้าคนงานแปลเป็นภาษาอังกฤษ ให้เราฟังว่า พวกเขาได้กลับมาจากบ้าน มารอเราอยู่ที่นี่หนึ่งวันแล้ว วันนี้เป็นวันที่สอง ผมกับญี่ปุ่นร้อง ฮะ ผมรีบดูนาฬิกาที่ข้อมือ ว้า เวลาผ่านมาห้าวันแล้ว เรามองหน้ากันไปมาสี่คน หัวหน้าคนงานรีบพูดขึ้นมาว่า นาย อย่าบอกใคร เรื่องที่ผ่านมา ผมกับญี่ปุ่น พยักหน้ารับ ผมดูนาฬิกาบนข้อมืออีกที่ บ่ายสามโมงแล้ว ผมไม่รู้สึกหิวข้าว เลย มีรถบรรทุกวิ่งขึ้นมาเอาของมาส่งแล้ว เราช่วยกันตรวจนับของ แล้วแยกกัน เข้าที่พัก

▬ ผมเก็บของเข้ากระเป๋า ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และมาทำอาหารกินกับญี่ปุ่น ก่อนเข้านอนญี่ปุ่น ชวนผมออกมานั่งคุยกันที่กองไฟ ที่คนงานก่อไว้ให้ หัวหน้าคนงานทั้งสองรีบเดิน มานั่งคุยด้วยทันที ผมชวนพวกเขา เดินไปที่ลานกว้างหน้าตัวอาคาร ที่สามารถมองเห็น ภูเขาลูกนั้นได้ เรามองเห็นแต่ ท้องฟ้ามืด มีดวงดาวเริ่ม ส่องแสงระยิบระยับบ้างแล้ว ผมนึกในใจ คงเริ่มอย่างเข้าฤดูใบไม่ร่วงแล้ว ไม่มีภูเขาลูกนั้นแล้ว เรากลับมานั่งที่รอบกองไฟอีกครั้ง ผมบอกหัวหน้าคนงานว่า พรุ่งนี้ตอนเช้า ลองให้พวกคนงานมองไป ทางภูเขาลูกนั้นซิ ว่าเห็นภูเขาหรือป่าว ? หรือเห็นอะไรบ้าง ?

▬ หัวหน้าคนงานรีบตอบว่า ตอนกินอาหารเย็นได้ให้พวกเขาลองช่วยดูแล้วไม่เห็นมีใคร รู้ว่าทางนั้นมีภูเขา พวกนั้นยังแปลกใจว่าให้พวกเขาดูทำไม เรามองหน้ากันไปมา ญี่ปุ่นถามผมว่า หลังจากที่แยกกันแล้ว ผมพบอะไรบ้าง ? ผมบอกว่าไม่กล้าเล่า คุณเล่าให้ผมฟังก่อนซิว่า พวกคุณสามคน ไปพบอะไรมาบ้าง ? ญี่ปุ่นเล่าให้ฟังว่า หลังจากปล่อยให้ ผมอยู่คนเดียวในห้องนั้น พวกเขาก็เดินดู ไปเรื่อย ๆ ยิ่งดูก็ยิ่งมีแต่ของที่สวยกว่า ตามทางเดินก็สว่างขึ้น ๆเรื่อย ๆ จนมาถึงห้องโถงใหญ่ห้องหนึ่ง ภายในระยิบระยับ ไปด้วยมรกตหลากหลายสี เป็นเหมือนดอกไม้ หลายชนิดมีหลายสีในดอกเดียวกัน อยู่เต็มห้องไปหมด พวกเขาเหมือนผีเสื้อตอมดอกไม้ ไปที่ดอกนั้นที่ ดอกนี้ที่ จนเหนื่อยอ่อนแล้วนั่งพัก

▬ พอหายเหนื่อย พวกเขาตกลงกันจะเอาอันที่สวย ๆ กลับมา พวกเขาพยายาม หาของมางัดมัน ออกจากผลึก ก็งัดไม่ออก เวลาจะงัดก้อนนี้ ก็พบก้อนที่อยู่ใกล้ ๆกันสวยกว่า พอไปเอาก้อนที่สวยกว่า ก็พบอีกก้อน สวยกว่า เป็นอย่านี้ตลอด จนพวกเขาเหนื่อย และ นั่งพักกันจนหลับไป พอตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่า ผม กำลังปลุก พวกเขาให้ตื่นอยู่ พอเขาเล่าจบแล้วถามผมว่า แล้วคุณละ ? แล้วผมก็เล่าเรื่องที่ ผมพบให้พวกเขาฟัง และเล่าเรื่องมรกตที่หายไป ว่ากลายเป็นพระแก้วมรกต ไปแล้ว และตอนนี้อยู่ ในเมืองไทย หัวหน้าคนงานได้ฟังเรื่องที่ผมเล่าจบ ได้พูดขึ้นมาว่า ถึงแม้เขาจะ ต่างศาสนากับผม แต่จะต้องหาโอกาส มาเที่ยวเมืองไทยได้จงได้ในชั่วชีวิตนี้ของเขาและ ไปดูพระแก้วมรกตให้ได้

▬ ญี่ปุ่นพูดเสริมขึ้นมาว่า ตอนเขาอยู่เมืองไทยได้ไปเห็นพระแก้วมรกตมาแล้ว สวยงามมาก (ตอนหลังหัวหน้าคนงานคนหนึ่ง ในสองคนนี้ ก็เป็นพ่อค้าขาย มรกต จนร่ำรวยและ มาเที่ยวเมืองไทย บ่อยมาก) เมื่อพวกเราพูดจบ ได้มีฟ้าแลบแปลบปราบขึ้นมาอีกทางด้านที่ภูเขาลูกอยู่ เหมือนกับจะย้ำเตือน ในสิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่ พวกเราลุกขึ้นหันไปมอง ด้วยความปลื้มปิติ พวกเราทำงานกันอยู่บนเขาลูกนี้ เกือบสามอาทิตย์งานจึงแล้วเสร็จ คืนหนึ่งก่อนที่พวกเราจะเก็บของย้ายกลับ office คืนนั้นผมได้ ฝันไปว่า เจ้ากระต่ายน้อยตัวนั้น มาหาผม และผม ได้เอาผ้าห้มคลุมมันไว้ และนอนกอดมันทั้งคืน

▬ ตื่นเช้าขึ้นมา ผมไม่พบเจ้ากระต่ายน้อยแล้ว แต่พบ มรกตแท่งนั้นแทน มันเท่าข้อมือ ยาวประมาณ คืบกว่า ๆ สีเขียวเข้ม สดใส ไร้รอยตำหนิใด ๆ ทั้งสิ้น หกเหลี่ยม ผมรีบเก็บของ และพบแต่เจ้ากรวด พวกนั้นที่ผมได้เก็บมาจากลำธารน้ำ สิบกว่าเม็ด ผมรีบเก็บของและแพ็กค์ มันอย่างดี ผมกลับเข้าตัวเมือง มาพักที่โรงแรม เช้าวันรุ่งขึ้น ผมกับญี่ปุ่นไปทำงานที่ office เพื่อส่งงาน ตอนเย็นผมกลับมาที่ห้องพัก พบว่าห้องพักถูกรื้อ ค้นข้าวของกระจาย มรกต และ เจ้าก้อนกรวด ของผม ไม่อยู่แล้ว ผมไปแจ้ง พนักงานโรงแรม และเจ้าของโรงแรม ได้พาตำรวจมาตรวจ ห้องผม ๆ ได้แต่บอกพวกเขาว่า มีแต่เงินสดเท่านั้นที่หายไป

▬ ผมไม่สามารถบอกเขาได้ว่า อะไรหายไปบ้าง ทางเจ้าของโรงแรมมาแจ้งว่า พนักงานทำความ สะอาดหายไปหนึ่งคนไม่มาทำงาน ทางโรงแรมโทษว่า ผมไม่ยอมเอาของมีค่าไปฝากไว้ที่ Locker ฝากของที่โรงแรมจัดไว้ให้ และไม่ยอมรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น ผมต้องอยู่ต่ออีกสามวัน ก็ถึงกำหนดต้อง กลับมาต่อวีซ่าที่เมืองไทย และได้พักผ่อนอีกสองอาทิตย์ วันนี้แค่นี้ก่อนนะครับพรุ่งนี้ผมจะมาเล่าต่อครับ ขอบคุณครับ

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1256