อาถรรพ์ของพลอย ภาค 12

เล่าเรื่องโดย ... คนหาพลอย

▬ กลับมาอินเดียอีกครั้ง ก่อนที่ผมจะมาทำงานที่อินเดีย ผมได้ไปที่แถวสยาม ไปหาซื้อหนังสือ เกี่ยวกับอัญมณี และแร่ต่าง ๆ มีทั้งภาษาไทยและ อังกฤษ เช่น หนังสือ Rocks and Minerals นำไปอ่านที่อินเดีย เมื่อผมไปถึงอินเดีย ผมถูกส่งไปทำงานที่ แค้วน แคชเมียร์ ( Kashmir ) ในเขตอินเดีย (ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีปัญหากับปากีสถาน) ที่นี่เป็นเมืองเล็ก ๆ ส่วนใหญ่เป็นคนมุสลิม แต่ความเป็นอยู่ดีมาก ผมมาทราบตอนหลังว่า การค้าที่นี่ส่วนใหญ่จะเป็นการค้าของเถื่อน และของผิดกฎหมายทุกชนิด

▬ ผมมีคู่หูเป็นญี่ปุ่นคนใหม่ ไม่ใช่คนก่อนหน้านี้ แต่ใช้คนขับรถคนเดิม ผมต้องคุมงานที่นี้ สองสถานี ซึ่งตั้งอยู่บนเขา เป็นเขตุของทหาร และอากาศที่นี่หนาวมาก บางวัน หมอกลงจัดบนเขาทำงานไม่ได้เลย สถานีแรกตัว อาคารสร้างเสร็จแล้ว พวกเราพัก กันอยู่ข้างบน ผมกับญี่ปุ่นและคนขับรถพัก กันอยู่ใน ตัวอาคาร ส่วนคนงานสร้าง ตั้งแค้มป์ อยู่ด้านนอก หุงหาอาหารกินกันบนนี้ หากขาดเหลืออะไร ค่อยลงไปซื้อในตัวเมืองด้านล่าง เพราะทางขึ้นลงลำบากมาก

▬ มาอยู่ที่นี่ผมไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม่ เหล้า วอสก้า ของรัสเซียจึง มีดีกรี สูงมาก คนงานที่นี่กินกัน เป็นว่าเล่น เพราะหากไม่กิน ก็ทำงานไม่ได้ หนาวมือเท้าจะแข็ง หยิบจับเครื่องมือไม่ได้ บางวันหมอก ลงจัดเป็นน้ำเลย เหล็กนี่ แตะไม่ได้เลย เย็นจัดมาก ( สำหรับผมโคตร ทรมานเลย) ไม่เคยเจอแบบนี้ มาก่อน ญี่ปุ่นและผม กินเหล้า ที่คนงานกิน ไม่ได้ เพราะกลิ่นมันเหม็นฉุน ต้องไปหาซื้อเหล้า วอสก้าดี ๆ ในตัวเมืองมาเก็บ ไว้กิน เวลาทำงาน วันไหนทำงานไม่ได้ผมก็นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง หรือออกไป นั่งข้างนอกรอบ ๆ กองไฟ เพราะคนงานจะจุด กองไฟไว้ผิงกันหนาวตลอด มีอยู่วันหนึ่งผมนั่ง ผิงไฟ อ่านหนังสืออยู่ มีหัวหน้า คนงานสองคนเดินเข้ามา ขอเหล้าผมกิน ผมนึกในใจว่าเขาคงอยากกินเหล้าดี ๆ บ้าง ผมก็รินให้เข้ากิน คนละแก้ว เขาถามผมว่า นาย ชอบอ่านหนังสือพวกนี้ (หนังสืออัญมณี ที่ผมซื้อมา) นายชอบของพวกนี้หรือ ? ผมบอกว่า ชอบ แต่ดูไม่เป็น เลยต้องซื้อหนังสือมาอ่าน

▬ เขาบอกว่าเห็นผมอ่านหนังสือมาหลายวันแล้ว แต่ไม่กล้ามาคุยด้วย ผมชักแปลกใจ เลยถามว่า มีอะไรหรือ ? เขาบอกว่า เมื่อก่อนนี้ พวกเขาก็เป็นคนหา มรกตมาขายแต่เดียวนี้ทำไม่ได้แล้ว เพราะแหล่งมรกต ชั้นดี อยู่ในฝั่งของปากีสถาน เขาบอกผมว่าตามภูเขานี้ก็มี แต่คุณภาพไม่ดี สู้อยู่ในน้ำหรือตามถ้ำไม่ได้ คุณภาพจะดี ไม่แตก ร้าว ผมถามว่าแล้วทำมัยไม่ไปรับซื้อมาขายละ ? เขาบอกว่าไม่มีทุนและหากจะเป็นพ่อค้าของพวกนี้ อย่างน้อยต้องพูดภาษาอาหรับได้ อีกภาษาหนึ่ง

▬ คนที่นี้ส่วนใหญ่พูดได้สองภาษา คือภาษาพื้นเมือง และภาษาอังกฤษใช้ติดต่อกับทางราชการ หากใครพูดภาษาอาหรับไม่ได้ก็ไม่มี ใครอยากค้าขาย ของพวกนี้ด้วย ผมถามว่า แล้วเกี่ยวอะไรกับ ภาษาอาหรับ? เขาตอบว่า พื้นที่ฝั่งปากีสถาน แหล่งมรกต ตกอยู่ในเขตอิทธิพล ของชาวอาหรับ กลุ่มหนึ่ง และสั่งห้ามชาวพื้นเมือง นำมรกตไปขายให้กับ ผู้ที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ ชาวอาหรับกลุ่มนี้ จะรับซื้อมรกตกับชาวพื้นเมืองในราคาถูก ๆ หากเอาไปขายให้คนอื่น แล้วเขารู้เข้า ก็จะมีโทษถึงตาย พ่อค้าที่ค้าขายอยู่ในตัวเมือง ต้องไปรับซื้อจากชาวอาหรับกลุ่มนี้อีกทีหนึ่ง ( ผมมารู้ภายหลังว่า ชาวอาหรับกลุ่มนี้ก็คือ คนที่อเมริกาต้องการตัวมากที่สุดในปัจจุบันนี้ เอาไว้จะเล่าให้ฟังภายหลัง )

▬ พวกเขาในช่วงฤดูร้อน ก็แอบเข้าไปลักลอบขุดหากัน บางคนก็โชคดี บางคนก็ โชคร้ายถูกฆ่าตาย เพราะหนีไม่ทัน เขาบอกผมอีกว่า ข้ามเขานี้ไปอีกสองลูก ก็ถึงแหล่งมรกตชั้นดีแล้ว และชี้มือไปทาง ชายแดนที่อยู่ติดกับจีน เขาบอกว่าตอนนี้ตามถ้ำมีแต่น้ำแข็ง ไม่มีใครกล้าเข้าไปหา แล้วถามผมว่า อยากได้ไหม ? ผมตอบว่าอยากได้ซิ เขาบอกว่าหลังจากทำงานสองสถานี นี้เสร็จจะไปหามาให้ผม ๆ ถามว่าจะไปหาอย่างไร ? เขาตอบว่าเพื่อเขามีเก็บอยู่บ้าง จะไปขอมาให้ ผมบอกว่า หากมีมากก็เอามา ขายให้ผมบ้างก็ได้ เขาได้แต่ยิ้ม

▬ หลังจากนั้นเขาก็เข้ามาคุยกับผมทุกวัน และขอเหล้ากินทุกวัน เราทำงานสถานีแรกเสร็จ ต้องย้ายไปสถานีที่สอง ซึ่งอยู่ห่างไปประมาณสิบกิโล พอย้ายของเสร็จ งานสร้างยังไม่สามารถทำได้ ต้องรออุปกรณ์ประกอบบางอย่างที่ยังส่งมาไม่ถึง จากญี่ปุ่น เรามีเวลาหยุด สี่วัน คนงานขอลาหยุด กลับบ้านกัน หัวหน้าคนงานเดินมาถามผมว่า นายวันนี้อากาศดี อยากไปหามรกตไหม ? ผมถามว่า ไปหาที่ไหน ? เขาบอกว่าเดินข้ามเขาลูกนี้ไปก็ถึงแล้ว ผมหันไปถามญี่ปุ่นว่าจะไปดูไหม ? ญี่ปุ่นรีบตอบ ว่าไปสิ แล้วหันไปถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าที่นั้นมี ? พวกเขาตอบว่า เมื่อก่อนนี้เขาเคยไปหามาแล้ว แต่เอาออกมาไม่ได้ เพราะกลัวพวกทหารจะจับได้ ผมถามว่าแล้วตอนนี้ไม่กลัวหรือ ? เขาตอบว่า ตอนนี้เราอยู่ในค่ายทหารแล้ว และตอนนี้ก็ไม่มีทหารไปอยู่ที่นั้นด้วย ผมมองหน้ากันกับญี่ปุ่นว่าเอางัยดี ? ญี่ปุ่นบอกว่า ไปก็ได้นี่ เพราะพวกทหารเขาก็รู้ว่าเรามาทำอะไรที่นี่

▬ ผมคิดในใจว่าเรามาทำงานให้กับทางราชกาลของเขา พอมีเวลาว่างก็มาเดินเที่ยวจะเป็นไรไป พวกเรารีบเตรียมตัว จัดหาของที่จำเป็นไปเท่านั้น หัวหน้าคนงานทั้งสอง ก็จัดหาอุปกรณ์ และเตรียม อาหารแห้งกับน้ำไปกิน แล้วหันมาบอกผมว่าเอาเหล้าไปกินด้วยนะอากาศ แถวนั้นหนาวมาก เราสี่คน เดินทางลงเขาไป มีทางเดินเล็ก ๆ เหมือมีคนใช้เดิน มาเป็นประจำ ญี่ปุ่นถามหัวหน้าคนงานว่า พวกคุณรู้ได้อย่างไรว่า ต้องมาทางนี้ ? เมื่อวานนี้ มีชาวบ้านแถวนี้ มาหา และได้คุยกัน จึงรู้ว่ามาทางนี้ ผมถามว่าชาวบ้านพวกนั้นมาทำไมในนี้ ? เขาตอบว่ามาดูต้นกัญชาที่ปลูกไว้ ผมกับญี่ปุ่นแปลกใจ ผมถามว่ามาปลูกกันได้อย่าไรในนี้ ? เขาไม่ตอบ แต่เรียกให้เราเดินตามไป ผมสังเกตว่า สองข้างทาง ที่เราเดินมา มีแต่ต้นไม่เล็ก ๆ ไม่ไช่ไม้ใหญ่ เมื่อเราข้ามแนวพุ่มไม้เหล่านี้มา จะเป็นที่โล่ง มีการ ปลูกข้าวโพด สลับกับต้นกัญชา เรามาหยุดยืนดู หัวหน้าคนงาน เดินไปที่ต้นกัญชา แล้วบอกว่านี่ยังงัย ต้นกัญชา มีแต่ญี่ปุ่น เท่านั้นที่ ถามว่า ใช่หรือ ? ผมบอกว่าใช่ ที่เมืองไทย ผมเคยเห็นมาแล้ว

▬ ผมคิดในใจ ว่าอากาศแบบนี้ แหละที่ต้นกัญชา ชอบมาก เวลาเช้า ได้น้ำค้าง เวลาบ่าย ๆ ได้แดดอ่อน ๆ รวมทั้งต้นขาวโพดด้วย หัวหน้าคนงานบอกว่า ที่นี่ หากข้ามเขาอีกลูกหนึ่งไป ก็จะเป็นไร่ ฝิ่น ที่ชาวบ้านแถวนี้ปลูกกัน ตามปกติ ผมไม่สงสัยเลย ส่วนญี่ปุ่นได้แต่หัวเราะ เราเดินเลาะลำธารน้ำ เล็ก ๆ มาตามทาง ได้เกือบ ชั้วโมงแล้ว ญี่ปุ่นชักเริ่มเหนื่อย และบอกให้เราหยุดพักก่อน ผมถามว่าอีกไกลไหม ? หัวหน้าคนงานตอบว่า อีกสองร้อยเมตร ก็จะถึงแล้ว

▬ ผมเลยเดินลงมาที่ลำธารน้ำ วักเอาน้ำล้างหน้า ผมสังเกตก้อนกรวดที่ลำธารนี้ ผมรู้ได้ทันที่ว่า มันไม่ใช่กรวด หรือ หินธรรมดา แล้ว ในหนังสือที่ผมอ่านมันบอกว่า ผลึกของแร่ แต่ละอย่างเป็นอย่างไร ผมรีบเก็บขึ้นมาดูทันที่ แล้วเก็บก้อนที่ผมคิดว่าใช่ แน่ ๆ ใส่กระเป๋าไว้อีก สิบกว่าก้อน แล้วมองดู ลำธารน้ำที่ไหลมา ตามไหล่ช่องเขา ผมรีบเดินกลับมาที่ เรานั่งพักกัน หัวหน้าคนงานชวนเราเดินทางต่อ เราเดินมาหยุดอยู่ชายเขา หัวหน้าคนงานชี้มือขึ้นไปบนเขา บอกว่าเดินขึ้นไปอีกร้อยเมตรก็ถึงแล้ว เราเดินขึ้นมาบนเขา ได้ประมาณ ห้าสิบเมตร หัวหน้าคนงานก็ชี้มือให้เราดู แร่ควอตช์ ที่ โผล่ ออกมาจากดิน เหมือนหน่อไม่ไผ่ ผมเดินไปดู หัวหน้าคนงาน อธิบายให้ฟังว่า แร่พวกนี้ บนเขาลูกนี้ มีเยอะมาก พวกเรามองไปรอบ ๆ บริเวณ ก็เป็นอย่างที่เขาพูดจริง ๆ ผลึกบางก้อนที่อยู่ตามซอกหิน มันสวยงามมาก หัวหน้าคนงานชวนเราเดินต่อ แล้วมาหยุดยืนอยู่ที่ หน้าก้อนหินใหญ่ ก้อนหนึ่ง บอกให้เราปีนขึ้นไปบนก้อนหินกัน เมือเราปีนขึ้นมาข้างบน แล้วหันหลังกลับไปมองทางที่เราเดินมา เราสามารถมองเห็น ทางที่เราเดินมา และ เขาลูกที่เราทำงานอยู่ เรายิ้มอย่างดีใจ ญี่ปุ่นถามว่า ไหนละมรกต ?

▬ หัวหน้าคนงานบอกให้เราเดินตามไปอีก หลังก้อนหินใหญ่ที่เรา ยื่นอยู่มี ปากถ้ำ เล็ก ๆ กว้างประมาณ เมตรกว่า ๆ หัวหน้าคนงานบอกว่ามันอยู่ในนี้ ข้างใน เป็นถ้ำกว้างมาก แล้วเอาไฟฉาย ออกมา บอกเราว่า ให้คลานตามเขาไป เราเอาไฟฉายออกมาแล้วคลานตามเข้าไป คลานเข้าไปได้ สักสองเมตรข้างในก็เป็นห้อง ใหญ่จริง ๆ เราหยุดยืนเอาไฟฉาย ๆ ไป รอบ ๆ ภายในห้องนี้เป็นผลึกหิน สวยงามมาก เมื่อโดนแสงไฟฉาย ทุกคนเห็นความสวยงามของมันก็หายเหนื่อย

▬ ผมนึกในใจ ธรรมชาติสร้างสิ่งสวยงามอย่างนี้ได้อย่างไรกัน บางที่เป็นสีขาว บางที่เป็นสีชมพู บ้างที่เป็นสี่เขียว หัวหน้าคนงานทั้งสองบอกว่า เขามาเจอถ้ำนี้ โดยบังเอิญ เมื่อหลายปีก่อน เขาเข้ามา บริเวน พื้นที่แถว ๆ นี้ เพื่อไปหาแร่ มรกต กัน แต่เจอพวกทหาร และชาวบ้านที่มาปลูกฝิ่น เลย หนีขึ้น มาหลบ อยู่บนเขานี้ และพบถ้ำแห่งนี้โดยบังเอิญ ภายในนี้มีแร่หลายชนิด แล้วพาเรามาหยุดอยู่ที่ ก้อนหินก้อนหนึ่ง ใหญ่ประมาณสักสามเมตร เป็นแร่ควอตซ์ และมีผลึกของแร่ งอก ออกมาเป็นแท่ง เต็มไปหมด เขาเอาไฟฉาย ๆ ไปที่ ผลึกแทงหนึ่ง สีเขียวอมชมพู สวยมาก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณสองนิ้ว และบอกเราว่า นี้คือทัวร์มาลีน แล้วฉายไฟไปที่ก้อนหินอีกก้อนหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆกัน และมีผลึก เป็นแท่ง หลายเหลี่ยมสีเขียวเข้ม ต้องใช้ไฟฉาย ๆ ใกล้ ๆ จึงจะรู้ว่าเป็นสีเขียว และบอกว่า นี่คือมรกต ผมถามว่าไม่ใช่ทัวร์มาลีนสีเขียวหรือ ? เขาตอบว่าไม่ใช่ และอธิบายความแตกต่าง กันของมันให้ฟัง และบอกว่าภายในถ้ำนี้ยังมีแร่ชนิดอื่น ๆอีก และพาเราเดินดูรอบ ๆ ตามซอกหิน ตามโพรงหิน ส่วนใหญ่จะเป็น ผลึกสีเขียวเต็มไปหมด ญี่ปุ่นถามผมว่าเอากล้องถ่ายรูปมาหรือป่าว ? ผมบอกว่าไม่ได้เอามา ทุกคนร้อง ว้า ผมก็คิดไม่ถึงว่าจะมีอะไรแบบนี้ให้ดู ผมถามเขาว่า ใช้มรกตแน่หรือ ? พวกเขายืนยันว่า ใช่แน่ ๆ ผมคิดในใจว่าหากดูตามหนังสือที่อ่านมา ก็น่าจะใช่

▬ พวกเขาบอกผมว่า คุณภาพของมันยังไม่ดีพอ ภายในมีตำนิ มาก ผมถามว่า แล้วของดี ๆ ในนี้ไม่มีบ้างหรือ ? เขาบอกว่าต้องหาดูอีกที เพราะครั้งที่แล้วไม่มีเวลาดูกัน มาครั้งนี้จะดูให้ทั่วเลย พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อครับ

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1239