รัตนชาติบำบัด
มีหลาย ๆ ท่านที่สงสัยว่า พลังบำบัดจากหินมีจริงหรือไม่ เว็บมาสเตอร์ อยากแนะนำเป็นกลาง ๆ นะคะว่า ขึ้นอยู่ความเชื่อ ความศรัทธา ของแต่ละ บุคคลค่ะ และได้อ่านหนังสือที่น่าสนใจมาก ๆ เล่มนึง คือ หนังสือ รัตนชาติบำบัด ประสบการณ์จากการใช้จริง ซึ่งผู้เขียน คือ พญ.ลลิตา ธีระสิริ เป็นแพทย์แผน ปัจจุบัน ได้ลองนำ ไปใช้กับตัวเอง และคนข้างเคียง จนเกิดความแน่ใจแล้ว เลยแนะนำ ให้ผู้ป่วย ทดลองใช้บ้าง เพราะรู้สึกว่า ไม่น่าจะเสียหาย อะไร เหมือนใส่เครื่องประดับสวย ๆ เท่านั้น เอง ซึ่งคุณหมอ ได้เตือนว่า อย่าคาดหวัง ผลการรักษามากมาย จากการ ใช้หิน หรือคริสตัล รัตนชาติบำบัด มีมาเป็นพัน ๆ ปี อย่าลืมว่า สมัยนั้น เราไม่มียาเหมือนปัจจุบัน พลังจากธรรมชาติจะ ค่อยเป็น ค่อยไป และจะได้ผลในคนที่อยู่กับธรรมชาติ จึงเหมือนวิถี ธรรมชาติบำบัด ต้องใช้ประสานกันไปกับ วิธีทางธรรมชาติอื่น ๆ ด้วย เช่น ต้องปรับเปลี่ยน อาหาร เปลี่ยนพฤติกรรม ออกกำลังกาย บริหารจิต ให้สงบ ผ่อนคลาย และใช้สมุนไพร ควบคู่ไปด้วยค่ะ

ทำไมรัตนชาติจึงใช้บำบัดโรคได้ ในสมัยก่อน คนโบราณ ได้ใช้คริสตัล หรือหินสี บำบัดโรคมาแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากคริสตัล หรือหินสี มี 'พลัง' ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องซับซ้อน และมีหลากหลายทฤษฎี ที่กล่าวถึงเหตุผลของการบำบัดโรคโดยรัตนชาติ ดังนี้

1. ทฤษฎี คลื่นสั่นสะเทือน (Vibrational Theory)ร่างกายคนเราประกอบขึ้นจากคลื่นสั่นสะเทือนทั้งสิ้น การที่สามารถคงรูปร่างได้ และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานตามหน้าที่ปกติ เนื่องจากคลื่นสั่นสะเทือนทำงานตามปกติ คลื่นพลังดังกล่าว สามารถวัดออกเป็นกราฟ ให้เห็นได้ เช่น การวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ คลื่นสมอง หรือคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ และเมื่อใดที่คลื่นต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ ขาดความสมดุล ก็จะเกิดอาการไม่สบายขึ้น การใช้รัตนชาติบำบัด เพื่อให้คลื่นพลังจากรัตนชาติดังกล่าว ส่งออกไปปรับ ความสั่นสะเทือน ที่เบี่ยงเบน ให้กลับคืนสู่สมดุลตามเดิม เมื่อคลื่นต่าง ๆ ทำงานปกติ อาการไม่สบายก็จะดีขึ้น และหายไปในที่สุด ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการ แน่นหน้าอก หากใช้หยกวางบริเวณหน้าอก คลื่นพลังจากหยก จะไปปรับ คลื่นสั่นสะเทือนหัวใจ สักครู่ อาการเจ็บแน่นหน้าอกจะหายไป หรือคนอินเดียนแดงรักษาคนเจ็บ ก็จะให้คนเจ็บนอนลง และวางคริสตัลไว้รอบตัว อาศัยพลังของคริสตัลไปเหนี่ยวนำคลื่นสั่นสะเทือน ให้กลับสู่สมดุล

2. ทฤษฎีจักระ (Chakra Theory)เป็นทฤษฎีของอินเดียโบราณ หลักการเบื้องต้นคือ พลังแห่งชีวิตของคนเรา จะเคลื่อนอยู่ในร่างกายขึ้นลง เป็นสองแนว มีลักษณะเป็นเกลียว และจะมี จุดตัดกัน ตรงตำแหน่งกลางของลำตัว ซึ่งถือว่าเป็นจุดตัด ของแนวเคลื่อนของพลังแห่งชีวิต 7 แห่งคือ
1.จักระกลางกระหม่อม ตรงกับ ต่อมไพเนียล
2.จักระที่หน้าผาก ตรงกับ ต่อมใต้สมอง
3.จักระที่ลำคอ ตรงกับ ต่อมไทรอยด์ และ พาราไทรอยด์
4.จักระที่หน้าอก ตรงกับ ต่อมไทมัส
5.จักระเหนือสะดือ ต่อมผลิตอินซูลินในตับอ่อนและต่อมหมวกไต
6.จักระที่ท้องน้อย ตรงกับ รังไข่ และอัณฑะ
7.จักระที่ก้นกบ ตรงกับเบอร์ซ่า ช่วยควบคุมภูมิต้านทาน
▬ จึงนิยมวางคริสตัล หรือหินสีไว้ตรงจักระ เพื่อให้ส่งพลังไปปรับ ความคล่องตัว และบรรเทาอาการต่าง ๆ ให้คลายลงได้ เช่น วางลาพีส ลาซูลี ไว้ตามจักระต่าง ๆ โดยให้ผู้ป่วยนอนลง แล้ววางลาพีส ลาซูลี ไว้ที่ หน้าผาก ลำคอ กลางหน้าอก ท้อง และท้องน้อย เพื่อปรับการทำงาน ของจักระ ทั่วร่างกาย จะเสริมสุขภาพให้ดีขึ้น หรือ วางซิทรินไว้เหนือสะดือ จะช่วย บรรเทา อาการระบบทางเดินอาหาร ปวดท้อง กระเพาะอาหารอักเสบ อาหารไม่ย่อย ควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดได้

3. ทฤษฎีการถ่ายเทพลังงาน (Exchange Energy Theory) ทุกประเภท สร้างพลังออกมา ตลอดเวลา ที่มีชีวิตร่างกายของเรา จึงมีพลังออกมาครอบคลุมรอบตัว หากร่างกายทำงานผิดปกติ สร้างพลังงานออกมา มากบ้าง น้อยบ้าง ทำให้สมดุลของพลังงานเปลี่ยนไป จะทำให้เกิดอาการไม่สบายขึ้นได้
▬ การใช้คริสตัล หรือหินสี ซึ่งมีพลังงานในตัวเอง มาเสริมพลังในกรณีที่พลังแห่งชีวิตลดลง หรือในกรณีที่พลังในตัวเรามีมากเกินไป ก็อาจใช้คริสตัลมาดูดซับเอาพลังออกไป เพื่อคืนความสมดุลแก่ร่างกาย ผลก็คือ อาการป่วยเจ็บจะหายไปได้เอง
▬ ตัวอย่างเช่น ในโรคไทรอยด์เป็นพิษ พลังงานตรงไทรอยด์ ออกมามากเกินไป หากใช้กร้อนมรกตวางตรงตำแหน่งไทรอยด์ มรกตให้พลังเย็น มันจะดูดซับพลัง ส่วนเกินออก ทำให้อาการทุเลาลงได้ หรือในกรณีที่บางคนเกิดอาการท้อแท้ เหนื่อยอ่อน เซ็ง ไม่อยากทำอะไร เป็นเพราะพลังแห่งชีวิตลดลงกว่าปกติ หากเอาควอตซ์สีชมพูวางตรงหน้าอก พลังจากควอตซ์สีชมพู จะไปเพิ่มพลัง ให้กับร่างกาย กระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่า สดใส และมีชีวิตชีวาขึ้น

4. ทฤษฎีดูดพิษ (Toxic Deduction Theory)มีคริสตัล หรือหินสีหลายประเภท โดยเฉพาะคริสตัล ตระกูลควอตซ์มีความสามารถดูดซับพลังลบ หรือความเจ็บป่วยออกจากร่างกายได้
หากเจ็บปวดตรงไหน ก็เอาควอตซ์ ไปวางตำแหน่งนั้น อาการเจ็บปวดจะหายไป เช่น ปวดเข่า เข่าเสื่อม หรือมีอาการอักเสบ หากเอาควอตซ์ใส ไปวางไว้ที่เข่าทั้งสองข้าง นานประมาณ 10 นาที ควอตซ์จะดูดเอาพิษออก จะทำให้รู้สึกสบายขึ้น อาการปวดเข่าน้อยลง หรือแขนบวม หากสวมใส่ไหมทอง อาการบวมจะค่อย ๆ หายไป

5. ทฤษฎีเหมือนรักษาเหมือน (Like Cures Like Theory)ทฤษฎีนี้ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก เพราะในเยอรมัน และอังกฤษ มักจะใช้ทฤษฎี "เหมือนรักษาเหมือน"เช่นเอายาควินิน ซึ่งเวลาใครกินเข้าไปจะเกิดอาการ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เช่นเดียวกับอาการของ ไข้มาลาเรีย มารักษาไข้มาลาเรีย ได้ผลการรักษาที่ดี มีประสิทธิภาพ
▬ พลอยตาเสือ (Tiger's Eye) มารักษาอาการที่เกี่ยวกับตา
▬ หินหยดเลือด (Blood Stone) มารักษาอาการเกี่ยวกับเลือด เช่น เลือดออก โรคหัวใจ ปวดประจำเดือน
▬ เนไฟรต์ (Nephrite) รักษาอาการทางไต เพราะในภาษาโบราณ เรียกไตว่า Nephron

6. ทฤษฎีสี (Color Theory)กลุ่ม คือ กลุ่มสีร้อน เช่น แดง ส้ม เหลือง และกลุ่มสีเย็น เช่น ม่วง ฟ้า เขียว เฉกเช่นเดียวกับกลุ่มโรค ที่ตามความเชื่อตะวันออก แบ่งโรคออกตามอาการที่เป็น ร้อนกับเย็นเช่นกัน ดังนั้นโรคร้อน จึงใช้สิ่งเย็นมารักษา หรือโรคเย็น จึงใช้สิ่งร้อน มาบรรเทาเป็นต้น การรักษาด้วยคริสตัล หรือหินสี ก็ใช้สีเอกลักษณ์ ของคริสตัลนั้น ๆ มารักษาโรคตามความร้อน ความเย็นเช่นเดียวกัน เช่น หากมีความก้าวร้าวมาก ต้องการให้ใจเย็นลง ก็ให้ใช้เทอร์ควอยส์ ซึ่งมีสีอยู่ในกลุ่มเย็นมาสวมใส่ หรือทางกลับกัน หากเซื่องซึม ไม่กระฉับกระเฉง ก็ใช้หินสีชมพูมากระตุ้น ให้ดีขึ้นเป็นต้น

7. ทฤษฎีโปรแกรมจิต (Mind Programming Theory)เช่น การใช้สตาร์ ออฟ เดวิด เจ้าของ อาจตั้งจิต ให้ทำธุรกิจดี มั่งคั่ง แล้วตั้งจิตไปยังจุดกึ่งกลางของจานนั้น หรือบางคนเขียนความตั้งใจ หรือที่จะโปรแกรม ใส่กระดาษชิ้นเล็ก ๆ วางไว้จุดกลาง แล้วให้หินกลม หรือเหลี่ยมทับไว้ โดยอธิษฐานได้เพียงครั้งละ 1 อย่าง หากความต้องการ บรรลุผล ก็นำ สตาร์ ออฟ เดวิด นั้น มาล้าง แล้วโปรแกรมอันใหม่ ในครั้งต่อไปได้

(จากหนังสือรัตนชาติบำบัด ประสบการณ์จากการใช้จริง ของ พญ.ลลิตา ธีระสิริ)