ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหินทิเบต dZi Bead
วันนี้ เรามาคุยกันถึงหินทิเบต, ดี ซี ไอ (dZi) ซีบีด หรือ หินดวงตาสวรรค์ กันนะคะ หากดูจากทีวี หรือสื่อต่าง ๆ ช่วงนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมกันมาก เราลองมาทำความรู้จัก กับหินชนิดนี้อย่างคร่าว ๆ กันนะคะ ชาวทิเบต มีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่า ถ้าใครได้ซีบีด ที่เก่าแก่ ไว้สวมใส่ จะสามารถช่วยคุ้มครอง ให้พ้นจาก เคราะห์ร้าย และนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง และสุขภาพดี ด้วยความศักดิ์สิทธิ์นี้ ชาวทิเบตจึงนำหินดังกล่าว ไปประดับเป็นพุทธบูชา รอบองค์ระศรีศากยมุณีโจคัง ณ กรุงลาซา เมืองหลวงแห่งทิเบต หินทิเบต ที่มีอายุนับพันปี มีเรื่องเล่ากันว่า เป็นหินที่พระลามะแห่งทิเบตเป็นผู้เขียนลายไว้ ซึ่งเป็นหินเก่าแก่ที่หาได้ยากขึ้นทุกที นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้หินชนิดนี้ราคาสูง ลวดลายกลม ๆ บนหิน ถูกเรียกว่าดวงตา เป็นสัญลักษณ์พลังแห่งสวรรค์ มีจำนวนแตกต่างกันไป เริ่มตั้งแต่ 1 ตา จนถึง 21 และ 108 ตา และโดยทั่วไป สัญลักษณ์ต่าง ๆ บนซีบีด หรือหินทิเบต มักจะแบ่งกลุ่ม ตามรูปแบบของสัญลักษณ์ ดังนี้

1. สัญลักษณ์วงกลม หมายถึง ความสงบสุข เปลี่ยนความโชคร้ายให้กลายเป็นความโชคดี และขจัดอุปสรรคต่าง ๆ

2. สัญลักษณ์สี่เหลี่ยม หมายถึง ความก้าวหน้า ความรุ่งเรือง ร่ำรวย โชคลาภ และสมความปรารถนา

3. สัญลักษณ์เส้นโค้ง หมายถึง ความสมบูรณ์แบบ ทั้งด้านสุขภาพ ความสัมพันธ์กับ คนรอบข้าง และความเป็นผู้นำ

4. สัญลักษณ์สามเหลี่ยม หมายถึง ความมีพลังอำนาจ ต่อสู้กับอุปสรรค และสิ่งไม่ดี ภูตผีปีศาจ หรือพลังลบทั้งหลาย และ ถึงแม้หินโบราณจะหายากมากก็ตาม ปัจจุบัน ชาวทิเบตยังมีการ ประดิษฐ์หินดังกล่าว โดยเขียนลวดลายแบบโบราณ เพียงแต่เขียนโดยคนธรรมดา แล้วส่งให้พระลามะช่วยปลุกเสก

เหมือนอย่างที่เคยทำในอดีต นั่นเอง

ตัวเว็บมาสเตอร์ตอนนี้ก็ใส่หินทิเบต 9 ตาค่ะ ทำไมถึงชื่นชอบหินทิเบตมากเป็นพิเศษ น่าจะเป็นเพราะการสัมผัสได้ถึงพลังของหินชนิดนี้ จำได้ว่า ตอนใส่ครั้งแรก เกือบ ๆ 2 อาทิตย์ จะเวียนศีรษะมาก และรับรู้ถึงคลื่นพลังของเค้าได้ดีทีเดียวค่ะ หากมองเป็น หลักการทาง วิทยาศาสตร์ ก็สามารถบอกได้ว่า ตัวคนเรามีคุณสมบัติ คล้ายแม่เหล็ก และรอบ ๆ ตัวเรา ก็เป็นสนามแม่เหล็กด้วยค่ะ แล้วหินทิเบต เป็นหินที่มีคลื่นแม่เหล็กในตัว จึงเป็นเหมือนตัวนำ ของสนามแม่เหล็กโลก ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ (ทั้งนี้หินทิเบต เป็นหินที่มาจาก เทือกเขา หิมาลัย จึงเป็นหินที่มีปริมาณเหล็กในเนื้อหินสูงมาก) ผู้สวมใส่จะได้รับคลื่นแม่เหล็ก จากทั้งตัว หินที่ใส่ และสนามแม่เหล็กจากธรรมชาติที่ผ่านมาทางหินทิเบตซึ่งเป็นตัวนำด้วย ทำให้พลัง ของแม่เหล็ก ทำปฏิกิริยากับสารฮีโมโกลบินในเลือด ทำให้ช่วงแรกของการสวมใส่ อาจรู้สึก เวียนศีรษะบ้าง แต่เมื่อร่างกายปรับได้ จนเข้าสู่สมดุลแล้ว หินชนิดนี้จะช่วยเรื่อง ระบบการ ไหลเวียนของโลหิต และส่งผลระยะยาว สู่การนำมาซึ่งสุขภาพแข็งแรงด้วยค่ะ

(เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้นนะคะ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ)

หากต้องการเลือกหินทิเบต หรือซีบีด ให้เข้ากับตัวท่านเอง ลองแวะอ่าน รายละเอียดหินได้ที่นี่ค่ะ

วันนี้เว็บมาสเตอร์ขอรวบรวมคำถามหลาย ๆ ข้อ ที่มีผู้สงสัยกันนะคะ เริ่มจากวิธีการทำลวดลายหินซีบีดค่ะ โดยทั่วไปมี 2 วิธี

วิธีที่ 1 การเอซชิ่ง ( Etching) เป็นวิธีการกัดลายด้วยด่าง เป็นการนำเอาผงด่าง มาผสมกับ ยางไม้ใช้ทาให้เป็นลาย ตามที่ต้องการ เสร็จแล้วนำไปอบในเตา เอาออกมาก็จะได้ ลายเส้นสีขาว อยู่บนเนื้อหิน โดยเส้นลายจะอยู่แค่บนผิวของหิน มักจะใช้กับหินที่มีสีพื้นสม่ำเสมอเท่ากันทั้งเม็ด มักจะใช้กับ Carnelian และหินที่มีสีดำล้วนอยู่แล้วตามธรรมชาติ

วิธีที่ 2 การทำให้ย้อมไม่ติดสี ( Anti-Dying) วิธีการนี้ เค้าจะนำเอาอาเกตมาเผา ให้เป็นสีขาวทั้งเม็ดก่อน แล้วจึงจะเอาไปย้อมสีโดยเอามาต้มในน้ำเชื่อม ระยะเวลาเป็นเดือน ให้น้ำตาลมันแทรกซึมเข้าไปในเนื้อหิน แล้วจึงนำมาอบ

เพื่อให้น้ำตาลมไหม้เกิดเป็นหินสีน้ำตาล ก่อนอบก็ใช้ด่างจาก ยางไม้มาทาเคลือบไว้ก่อน ให้เป็นลวดลายตามที่ต้องการ และทำให้ ไม่ติดสีย้อม ในส่วนนี้ ลายที่เกิดขึ้นมาในกรณีนี้ จะเป็นส่วนของหินสีขาว ที่ถูกเผา ตั้งแต่เริ่มต้น ลายที่เกิดขึ้น จึงมีลักษณะฝัง อยู่ในเนื้อหิน มักจะใช้กับ หินอาเกต ที่ต้องการ ล้างลายธรรมชาติก่อน ที่จะทำลวดลายใหม่เข้าไป เพื่อให้น้ำตาลมไหม้เกิดเป็นหินสีน้ำตาล ก่อนอบก็ใช้ด่างจาก ยางไม้มาทาเคลือบไว้ก่อน ให้เป็นลวดลายตามที่ต้องการ และทำให้ ไม่ติดสีย้อม ในส่วนนี้ ลายที่เกิดขึ้นมาในกรณีนี้ จะเป็นส่วนของหินสีขาว ที่ถูกเผา ตั้งแต่เริ่มต้น ลายที่เกิดขึ้น จึงมีลักษณะฝัง อยู่ในเนื้อหิน มักจะใช้กับ หินอาเกต ที่ต้องการ ล้างลายธรรมชาติก่อน ที่จะทำลวดลายใหม่เข้าไป วิธีแรกเป็นวิธีแบบเปอร์เซีย ส่วนวิธีที่สองเป็นวิธีแบบทิเบต หินที่ได้มักจะโปร่งแสง และรูของหินอาจจะมีสีขาว เนื่องจากมีการกันไม่ให้สีเข้าไป ในรูหิน เมื่อเจาะหินก่อนย้อม หรือแม้แต่สีคราบกาแฟ หากย้อมก่อนเจาะรูหิน

ขั้นตอนการดูหินซีบีด ใช้ ไฟฉายขนาดเล็ก และแว่นขยายขนาด 10 ถึง 20 เท่า

1. สีของเนื้อหิน โดยทั่วไปสีของซีบีดมี 5 สีคือ ขาวครีม , ดำ , น้ำตาล , แดง , เขียวอ่อน โดยสีขาวครีมเป็นสีที่มีความต้องการมาก ในตลาด ซึ่งอาจดูจากสีของรู ที่เจาะไว้ว่า มีสีขาวครีมหรือไม่ ถ้ามีก็ชี้ได้ว่าเป็นซีบีดแท้

2. สีของลายบนเนื้อหิน สีของซีบีดทั้งลายและเนื้อหินส่วนมากจะเป็น ดำ-ขาว , น้ำตาลเข้ม-ขาวครีม , น้ำตาล-ขาวครีม , น้ำตาลอ่อน-ขาว โดยที่ความคมชัดของเนื้อหิน และลายบนเนื้อหินควรจะตัดกันอย่างชัดเจน ซึ่งสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือสีน้ำตาลเข้ม-ขาวครีม

3. ความมันเงาของหิน เนื่องจากความเก่าของหิน และอายุการใช้งาน ในความเงา บนเนื้อหิน ย่อมมีคราบบ้าง ความเงาของหินจะมากหรือน้อย ดูได้จาก แสงสะท้อน จากแสงไฟ และลักษณะความเงา ก็มีหลายแบบ เช่น แบบแก้ว , แบบมัน , แบบมันด้าน ในบางที ถ้าเป็นหินที่ใช้งานมามาก มักจะมีคราบเปื้อนอยู่บนเนื้อหิน ซึ่งทำให้แสงสะท้อน จากไฟ ไม่มากนัก ตรงนี้สังเกตได้ด้วยตาเปล่า

4. ความโปร่งแสง มักจะเป็นวิธีที่ใช้ดูซีบีด แต่ไม่สามารถใช้วิธีนี้ เพียงอย่างเดียว ในการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม อย่าเพิ่งตกใจหากซีบีดของคุณไม่โปร่งแสง ซีบีดมีหลายเนื้อ ต้องเข้าใจก่อนว่า เทือกเขาหิมาลัยมีหลายยอดทอดเป็นแนวยาว แต่ละยอดก้อมีชื่อเฉพาะ เนื้อหินก้อแตกต่างกันตามชั้นหินด้วย เพราะฉะนั้น มีทั้งที่ทึบและโปร่งแสง โดยทั่วไป หากเป็นหินอาเกต จะเริ่มจากสีใส, สีขาว, สีน้ำตาล, สีดำ และหินอาเกตสีแดง จะอยู่ในชั้นลึกลงไป หายากกว่า แต่วิธีนี้ไม่สามารถ เป็นเครื่องมือสำคัญ ในการดูหินซีบีด อย่างแท้จริงได้

5. ความสมบูรณ์ของหิน ซีบีด. ส่วนมากผ่านการใช้งานมาแล้ว ความสมบูรณ์ของหิน จึงดูโดยตรงได้จากเนื้อหินว่ามีรอยอะไรบ้าง และตรงปลายหิน อาจจะมีรอยกระแทก อยู่บ้าง ซึ่งร่องรอยเพียงเล็กน้อยไม่ทำให้ซีบีด ลดค่าได้ บางทีเนื้อหินบางส่วน อาจถูกขูด เพื่อนำไปใช้ทำยา ก็สามารถยอมรับได้เช่นกัน แต่ถ้าหินโดนหักเป็น 2 ท่อนแล้ว ความขลัง ก็จะลดลง และไม่แนะนำให้สวมใส่

6. ร่องรอยจากสภาพอากาศ Weathering marks เป็นตำหนิที่เกิดจากความเก่า เป็นเส้นเล็กๆ มีความลึกแตกต่างกัน อยู่บนพื้นผิวของลูกปัด แต่ไม่ได้หมายความว่า ลูกปัดที่ไม่มีรอยนี้ ไม่เก่านะคะ เพราะขึ้นกับการใช้งาน ร่องรอยจากสภาพอากาศบนเนื้อหินเป็นร่องรอยของอายุหิน ถ้ามองจากแว่นขยายก็จะพบรอยกระจายทั่งไปโดยมีความลึกไม่ค่อยสม่ำเสมอกันซักเท่าไร ร่องรอยตรงนี้จะเห็นได้ชัดบนสีดำ หรือสีน้ำตาลซึ่งเป็นสีลายของหินซีบีด

7. เป็นจุดสีแดง หรือดำ (เมอคิวริคซัลไฟด์) Cinnabar dots อยู่ภายในเนื้อลูกปัดจนถึงพื้นผิว เป็นไปได้ว่าจุดนี้เป็นผลมาจาก ปฏิกิริยาสนามแม่เหล็กระหว่างลูกปัด และผู้สวมเป็น ระยะเวลานาน ตำหนิแบบนี้หายากและมีราคาสูง แต่สามารถเกิดได้ เริ่มตั้งแต่หินใหม่ ไปจนถึงหินเก่า และซีบีด บางประเภทก็ไม่มีจุดแดง บางประเภทมีจุดแดง ก็ไม่ใช่จะเป็น หินประเภทดีเช่นกัน เพียงแต่จุดแดง เป็นสิ่งที่ค่อนข้าง ใช้บ่อยในการจำแนก ซีบีด เก่าหรือใหม่ บางทีก็เป็นจุดดำบนซีบีด ในบางเม็ด เมื่อใส่ไปเรื่อยๆ สีของจุดแดงอาจจะอ่อนลง หรือเข้มขึ้นได้ และจากที่ได้ศึกษา มาจากผู้รู้เรื่องซีบีด จึงได้ข้อสรุปว่าจุดแดงที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดจากเหงื่อเปื้อน แต่เกิดจากปฏิกิริยาของแม่เหล็กในเนื้อหินกับร่างกายผู้สวมใส่

8 . รอยวงที่เกิดตามธรรมชาติ อยู่บนตัวลูกปัด Circular dragon marks เป็นตำหนิที่เป็นสิริมงคล เกิดจากสวดภาวนา หรือทำสมาธิของผู้ทำพิธี ตำหนินี้ เป็นรอยวงๆ กระจายบนผิวลูกปัด ยิ่งมีมาก ยิ่งมีราคาสูง

9 . ลักษณะภายใน ( กรณีที่แตก) ลูกปัดจะยังคงมีสีดำซึมในเนื้อประมาณ 1 ใน 3 ของรัศมี ขณะที่ของปลอมจะมีอยู่แค่บนผิวเท่านั้น

10. ลายที่เหมือนเส้นเลือดในเนื้อหินซีบีด เป็นลายธรรมชาติ เรียกว่า dragon line (ทำให้หินมีพลังมากขึ้นด้วย) ใส่ ๆ ไปสามารถเกิดเพิ่มได้อีกด้วย
(จากหนังสือ The Gzi Beads of Tibet by Lin, Tang-Kwang, 2001)

ส่วนคำถามยอดฮิต คือวิธีการดูแลซีบีด จริง ๆ

เว็บมาสเตอร์ว่า สามารถประยุกต์ วิธีการชำระล้าง หินบำบัด มาใช้ได้ แต่วิธีง่าย ๆ และเบื้องต้นที่สุดคือ หากได้รับซีบีดไป ก็อาจเลือกวิธีการชำระล้าง โดยนำซีบีด ไปผ่านน้ำก๊อก ซัก 2-3 นาที แล้วบอกกล่าวกับ หินที่ได้มา ว่ามาอยู่ด้วยกันนะ นำโชคลาภมาให้ อะไรประมาณนี้ค่ะ นอกจากนั้นอาจใช้วิธีเพิ่มพลังหินแบบอื่น ๆ เช่น อาบแสงจันทร์ หรือ ใช้ควันธูป หรือกำยาน ลองอ่านวิธีชำระล้างหินที่นี่นะคะ

*โปรดใช้วิจารณญาณ ในการอ่าน เนื่องจากเป็นเพียงการบอกเล่า และความเชื่อเท่านั้น*