อาถรรพ์ของพลอย ภาค 35

เล่าเรื่องโดย คนหาพลอย

▬ ตอนที่แล้วผมเล่า ถึงตอนพบพระพม่าแก่ ๆ รูปหนึ่งนะครับ ท่านพาผมเดินมา อีกที่หนึ่ง ผมก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง กับภาพเบื้องหน้า ที่ผมเห็นนั้น นี่มันนรก หรือสวรรค์กัน แน่ ผู้คนมากมาย แต่งตัวสวยงาม ยังกับ นักแสดงละคร หรือลิเก เดินกันไปมาหน้าตา ยิ้มแย้ม แจ่มใส บางคนก็ กำลังยืนคุยกัน บางคนก็กำลังนั่งคุยกัน สถานที่ก็สวยงาม เหลืองอร่าม ไปทั่ว ประดับด้วย ภาพลวดลายวิจิตร พิสดารสวยงามมาก และพระท่าน ก็เอ่ยพูดขึ้นมาว่า ดูทางนี้ซิ และชี้มือให้ผมดู ผมมองตาม เห็นท้องพระ โรงขนาดใหญ่ พื้นปูพรมอย่างดี มีคนแต่งตัว สวยงาม นั่งอยู่บนพื้น หลายสิบคน หันหน้าไป ทางเดียวกัน เบื้อง หน้า ของพวกเขา มีบัลลังค์สีทอง ขนาดใหญ่แกะสลัก ลวดลาย อย่างวิจิตรพิสดาร สวยงามมาก บนบัลลังค์ มี หญิงชายคู่หนึ่ง แต่งตัวเหมือนลิเก กำลังนั่งว่าความ สั่งการอะไร สักอย่างหนึ่ง กับพวกที่นั่ง อยู่บนพื้น และพระ ท่าน ก็เอ่ยพูดต่อไปว่า ที่เธอเห็น บนบัลลังค์นั้น คือกษัตริย์ และราชินีของพม่า องค์สุดท้าย (ท่านบอกชื่อ กษัตริย์ และราชินี แต่ผมจำไม่ได้แล้ว)

▬ ในสมัยก่อนนี้ มีสภาพสวยงาม แบบนี้ และบัลลังค์นั้น ก็ทำด้วยทองคำจริง ๆ แต่ว่าราชินี เป็นคนโหดร้าย ริษยาอาฆาต แค้นและหึงหวง และด้วยเวรกรรมที่ได้ทำกันไว้ มีการฆ่าล้างโคตร กัน อย่างที่เธอเห็นนั่นแหละ และต่อมาก็เกิดจราจลขึ้น เมื่อท่านพูดจบ ผมเห็นผู้คนวิ่งกัน ขวักไขว่ไปมา มีนัก รบโบราณ ของพม่า กำลังฆ่าฟันกันเอง ล้มตายเกลื่อนไป ทั่วบริเวณ ผู้คนกำลังหยิบฉวย ข้าวของ และขนออก ไปด้านนอก อย่างไม่มีใคร ห้ามปรามแต่อย่างใด มีชายฉกรรจ์ ตัวใหญ่หลายสิบคน กำลังหามบัลลังค์ทองนั้น ออกไป ท่านพูดต่อไปว่า บัลลังค์ทองนั้น ก็โดนพวกต่างชาติ ขนเอาไป ทรัพย์สมบัติ ที่มีอยู่ภายใน พระราชวัง แห่งนี้นั้น ผู้คนหยิบฉวย ขนเอาไป เป็นของตัวเอง จนแทบไม่เหลือ เมื่อท่านพูดจบ ภาพทั้งหมด ที่เกิดขึ้นก็หาย ไป บรรยากาศกลับมา เป็นปกติ มีเพียงผม และพระสองคน เท่านั้นที่ยืนอยู่ บริเวณ ซึ่งเคยเป็น ท้องพระโรงเก่า ผมถามท่านว่า ทำไม่ผมต้อง เห็นภาพพวกนี้ด้วย ? ท่านตอบว่า อยากให้เธอ ช่วยอะไรสักอย่างหนึ่ง จะได้ไหม?ผมตอบ ว่า หากผมทำได้ ผมจะทำให้ บอกมาเถิด ท่านตอบว่า ทุก ๆ เช้าอาตมาจะเดินรับ บิณฑบาต ผ่านหน้าโรงแรม ที่เธอพักทุกเช้า ผมรีบพูดขึ้นมาว่า อย่างนั้น พรุ่งนี้เช้าผม ขอนิมนต์ท่านรับบาตร หน้าโรงแรมด้วย ท่านยิ้ม และพยักหน้ารับ และพูดต่อไปว่า พรุ่งนี้ช่วย ตักน้ำในคูรอบ พระราชวังนี้ให้สักแก้วหนึ่ง ด้วยจะได้ไหม? ผม ตอบว่าได้ครับ ผมจะตักให้ ท่านพูดต่อไปว่า เรื่องราวที่เธอเห็นนี้ ต่อไปภายหน้าเธอ จะรู้เอง เธอเดินกลับไป ทางนี้เถิด

▬ พวกเขารอเธออยู่ เมื่อท่านพูดจบ ก็ชี้มือบอกทาง ให้ผมเดินกลับ ผมก้มลง กราบท่าน และเดินกลับ ผมเดินมา ได้สี่ห้าก้าวก็หันไป มองท่านอีก แต่ก็ไม่พบท่านแล้ว ผมหันหน้าเดินกลับมาเรื่อย ๆ แปลก บรรยากาศ ร่มรื่นเย็นสบาย บนต้นไม้ ก็มีเสียงนกร้อง อยู่มากมาย รูปปั้นสิงโต ก็ดูเหมือน อมยิ้มให้ อย่างเป็นมิตร ตำหนักแต่ละหลัง ถึงจะดูเงียบ แต่ก็ไม่วังเวง เหมือนตอนเข้ามา ผมเดินมาได้สักพัก ก็พบพวกญี่ปุ่น และพม่า นั่งค่อยอยู่ ถ้าทางพวกเขา ยังเหนื่อยอยู่ และมองมาที่ผม ด้วยท่าทีแปลก ๆ ผมทำเฉย ๆ เหมือน ไม่รับรู้เรื่องอะไร ที่เกิดขึ้น และชวนพวกเขา เดินกลับโรงแรม เมื่อเดินมาถึงโรงแรม พม่าหัวหน้าทีมสำรวจ ก็พูดขึ้นมาว่า รู้สึก ไม่สบายใจ อยากให้ทุกคน ไปไหว้พระ กันก่อนดีกว่า ไม่มีใครปฏิเสธ ทุกคนพยักหน้ารับ

▬ พม่าเรียกคนขับรถ บอกให้พาพวกเรา ไปไหว้พระ ทีเจดีย์มหามุณี ซึ่งอยู่ไม่ไกล จากโรงแรมที่พักเท่าไรนัก และเมื่อไปถึง ที่เจเดีย์มหามุณีนี้ ใหญ่ พอๆกับ ที่ บาโก หรือหงสาวดี ที่พระเจ้าบุเรงนองสร้าง แต่ก็เล็กกว่า เจดีย์ชเวดากอง ในย่างกุ้ง หน้าเจดีย์ด้านใน มีพระพุทธรูป ปางขัดสมาธิเพชร อยู่หนึ่งองค์ ถูกปิดทองคำเปลว เหลืองและหนา ไปทั้งองค์ มีเครื่องประดับ ทำด้วยทองคำ ฝังอัญมณีต่าง ๆ เต็มไปทั้งองค์ ยกเว้น แต่บริเวณใบหน้า ที่ดูสดใสมาก พวกพม่า อธิบายให้ฟังว่า พระพุทธรูปองค์นี้ ชื่อว่าพระมหามุณี ทุกๆ เช้าจะมีพวกชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่มาทำ ความสะอาด บริเวณใบหน้า ให้สดใส และสะอาด อยู่ตลอดเวลา เพราะเชื่อกันว่า หากวันใด ที่ใบหน้าท่านหมอง คล้ำไม่สดใส บ้านเมือง จะเกิดสิ่งไม่ดีขึ้น จึงต้องทำ ความสะอาด ใบหน้าท่าน อยู่ตลอดเวลา พวกพม่าพาเรา เข้าไปนั่งไหว้ ด้านหน้าองค์พระ พม่าหัวหน้า ทีมบอกว่า เมื่อไหว้พระเสร็จแล้วขอให้ทุกคน นั่งทำสมาธิสัก สิบนาที แล้วค่อยกลับ ทุกคนพยักหน้า รับคำ รอบ ๆ บริเวณ ก็มีพวกผู้คนที่มาไหว้พระ มานั่งทำสมาธิกันอยู่ มากพอสมควร แม้แต่พวกชาวต่างชาติ ที่เป็นพวกฝรั่งก็มี

▬ เมื่อผมกราบพระเสร็จ และนั่งทำสมาธิได้สักหนึ่ง นาที จิตผมก็สงบ เป็นสมาธิ ผมมองเห็น ทหารนักรบ โบราณเต็ม บริเวณลานเจดีย์ เป็นกองทัพขนาดใหญ่มี ทหารเป็นหมื่น ๆ คน แต่ละคนนั่ง คุกเข่ากราบพระ ผมได้ยิน พวกเขาขอพรจากพระดัง ๆ ว่า ขอให้รบชนะคน ไทย ขอให้รบชนะยูเรีย ผมลุกขึ้นยืน และพูดออกไปว่า จะไปรังแกเขา ยังมีหน้ามาขอพร จากพระอีก มีเสียง คนผู้หนึ่ง มากระซิบ ที่ข้างหูผมว่า ขอให้เธอ อโหสิกรรม ให้ซึ่งกันและกันด้วยเถิด อย่าได้จองเวร ซึ้งกันและ กันเลย ผมหันไปมอง ตามเสียงนั้น ผมเห็นพระแก่ ๆ รูป ที่พบในพระราชวังนั้นนั่นเอง มายืนอยู่ข้าง ๆ ผม ผม พยักหน้ารับคำ ท่านพูดต่อไปว่า เมื่อก่อนนี้ ก่อนที่พวกเขา จะออกไปรบพวกเขามา ขอพรจากที่นี่ และที่เจดีย์ ทั้งสองแห่ง ในทั้งที่ บาโกและย่างกุ้ง หากเธอไปที่นั้นอีก ขอให้เธออโหสิกรรม ให้ซึ่งกัน และกันด้วยเถิด และ เมื่อท่านพูดจบ ภาพของนักรบโบราณ พวกนั้นก็หายไป ผมนั่งทำสมาธิต่อ และเมื่อจิตผมเป็นสมาธิ ผม อธิษฐานว่า ณ ที่แห่งนี้ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในแผ่นดินนี้ ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม ทั้งหลาย ที่ได้ทำกันไว้แต่ชาติ ก่อนในอดีต แทนคนไทย ทั้งประเทศด้วย และไม่ขอจองเวร ซึ่งกันและกันอีก ขอให้ท่านทั้งหลาย จงไปผุด ไปเกิดในที่ ๆ ท่าน ทั้งหลายชอบ ด้วยเถิด และหากผู้หนึ่ง ผู้ใด มาขอพรเพื่อไปทำร้ายผู้อื่น ไปรังแกผู้อื่นและคน ไทยอีก ขอให้พรนั้น กลับเป็นให้แผ่นดินไทย มีคนดีคนเก่งคนกล้าเต็มบ้านเมือง ขอให้ประเทศไทยร่ำรวย มีทรัพย์สินเงินทอง เป็นมหาอำนาจ ทั้งในโลกนี้ และทั้งจักรวาลนี้ ด้วยเถิด

▬ เมื่อสิ้นเสียง คำอธิษฐานของผม ก็มีเสียงฟ้าผ่า ดังสนั่นหวั่นไหว ไปทั่วบริเวณ ผมและทุกคน ตกใจลุกขึ้นยืนมองหน้ากันไปมา และมองหา ต้นเสียงที่มา ผมก้มลงกราบพระ และทุกคน ก็ก้มลงกราบตาม พวกเราชวนกันกลับ ตอนกลับ พวกเราเดินวน รอบเจดีย์ ตามเข็มนาฬิกา ข้าง ๆ เจดีย์นั้น มีห้องเก็บโบราณวัตถุ อยู่ห้องหนึ่ง ผม แวะเดินเข้าไปดู เห็นมี รูปพระแม่อุมา และสิงโตอีกสองตัว หล่อด้วยทองสำริต และโบราณวัตถุอีกสอง สามชิ้น รูปพระแม่อุมา ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก แต่รูปสิงโต ทั้งสองสมบูรณ์ดีมีรอยคนเอามือ ไปลูบคลำหัวสิงโต ทั้งสองเลื่อม เป็นมันเกือบทั้งตัว พวกพม่า รีบอธิบาย ถึงที่มาของโบราณวัตถุ ให้พวกเราฟัง อย่างไม่สะทก สะท้านว่า เมื่อก่อนพม่า รบชนะไทย และได้นำของ เหล่านี้มาด้วย พูดไปก็มองมาที่ผม แต่ผมทำ ท่าทางไม่ ได้ยิน พวกพม่า และญี่ปุ่นหัวเราะ กันใหญ่ แถมชี้มือ บอกว่ามีป้าย เขียนไว้ ถึงที่มาเป็น ภาษาอังกฤษและ พม่า แล้วก็มีภาษาไทย อยู่สองสามคำ กำกับไว้ด้วย ผมถามพวกพม่าว่าทำไมสิงโต ถึงได้เลื่อมเป็นมันแบบ นี้ละ ? พวกเขารีบตอบว่า คนพม่าถือว่าใคร ก็ตามที่มาไหว้พระ ที่นี่แล้ว หากเอามือมา ลูบหัวสิงโตทั้งสอง ตัวนี้แล้วจะโชคดี เมื่อพูดจบ พวกเขาก็เอามือไป ลูบหัวสิงโตกันใหญ่รวมทั้ง พวกญี่ปุ่นด้วย

▬ ผมเดินไปใกล้ๆ สิงโตทั้งสอง และเอามือเข็ก หัวสิงโตทั้งสองเบา ๆ และพูดขึ้นว่า หากใครมาลูบหัว ของเจ้าทั้งสองอีกจงให้ เขาเป็นคนดีกลับไป เมื่อผมพูดจบ สิงโตทั้งสอง ก็คำรามดังลั่นขึ้นมา ทันที และขยับกาย เสียงดัง ครืดคราด ไปมา และสงบลงเงียบไป พวกญี่ปุ่นและพม่า ตกใจรีบโดดหนีออกไปให้ห่างสิงโต ทั้งสองทันที่ ผมทำไม่ รู้ไม่ชี้เหมือน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ผมก็นึกอยู่ ในใจเหมือนกันว่า วันนี้มันเป็นวันอะไรกันแน่ มีแต่เรื่อง แปลก ๆ และเดินไปชวน พวกเขากลับ พวกเขารีบมา จับมือถามผมกันใหญ่ว่า ทำได้อย่างไร และจะไม่ยอม ให้ผมกลับ ผมถามกลับไปว่า ทำอะไรหรือ? พวกเขาพยายาม อธิบายว่า ก็คุณเอามือไป เข็กหัวสิงโตแล้ว มัน ก็ร้องขึ้นมานะซิ คุณทำได้อย่างไร ? ผมตอบพวกเขาไปว่า ผมไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย พวกคุณตาฝาดไป เองหรือป่าว? พวกเขาช่วยกันเถียง ผมกันใหญ่ และจะให้ผม ทำให้ดูอีก ผมรีบตอบปฏิเสธ และรีบเดิน ไปขึ้นรถที่ จอดคอยอยู่ด้านนอก ทันที เมื่อขึ้นมาบนรถ พวกเขาก็ยังช่วยกัน ถามผมอีกว่า ทำได้อย่างไรทุกคน เห็นเหมือนกันหมด และตอนที่อยู่ ในพระราชวังนั้น ผมก็ไม่ได้วิ่งตาม พวกเขาออกมา เป็นเพราะอะไรหรือ ? ผมได้แต่ตอบ พวกเขาไปว่า ก็ผมไม่เห็นมีอะไร เกิดขึ้นเลยนี่นา แต่พวกเขา ก็ไม่มีใครเชื่อ ผมสักคนเดียว แถมบางคน ก็โมโหผมอีก แต่ผมก็ไม่รู้จะอธิบายให้ พวกเขารู้และเข้าใจ ได้อย่างไร ว่าทำไม่มัน ถึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ขึ้นมาในวัน นี้ เลยจึงตอบปฎิเสธ พวกเขาไปว่า ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น

▬ เมื่อมาถึงที่โรงแรม พวกเรารู้สึกหิว และไปหา อาหารกลางวัน ทานกัน ในห้องอาหาร ของโรงแรม ระหว่างที่ ทานอาหารกันพวกเขา ก็พยายามถามจะเอา ความจริง จากผมให้ได้ ผมก็ตอบปฎิเสธไปอีก และรีบทานอาหาร ให้เสร็จและขอตัวขึ้นไป พักผ่อนบน ห้อง และนัดเจอกันอีกครั้ง ตอนหกโมงเย็น เพื่อทานอาหารเย็น ด้วยกัน ขอจบเพียงเท่านี้ ก่อนนะครับ

▬ ท่านกายสีเหลือง มาพอดี และผมเอง ก็มีปัญหาจะถามท่าน? ผมถาม ท่านตอบว่า เธอไม่ต้องถาม หรอก เรารู้ว่าปัญหา ของเธอคือเรื่อง แก้วมณีไอยรา ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ไม่เข้าใจเอง ต่างหาก เธอได้บอกจุด ประสงค์ของเธอแล้ว ว่าเธออยากจะให้กับคน ที่เข้ามาให้กำลังใจ กับเธอก่อนจากตอนที่ หนึ่งถึงตอนที่ สามสิบสอง และขอให้เจ้าของเว็บ และทีมงานหรือ เจ้าของร้านค้าทั้งหลาย ช่วยสละสิทธิ์ให้กับพวกเขา ก่อน และนั้นก็ถูกต้องแล้ว เราจะช่วยเธออธิบาย ให้ท่านทั้งหลาย เหล่านั้นเข้าใจเอง เธอจงเขียนตามที่เรา บอกเถิด ครับ ผมรับคำ อันช้างเอราวัณนั้น เมื่อลงมาจุติเกิดขึ้น เป็นช้างเผือก อยู่ในโลกมนุษย์แล้วย่อมต้องเกิดควาญช้างคู่ใจ ตามมาด้วย อันควาญช้างนี้ แต่ละคนบุญบารมี ไม่เท่ากัน จึงยังมีควาญช้างที่ไปเกิดอยู่ตามป่า ตามชนบท อยู่อีกหลายคน แต่ละคนก็มีความเป็นอยู่ ที่แตกต่างกันไป และในภายหน้านี้ช้างเอราวัณ จะกลับมาจุติ ในชมพูทวีปนี้ อีกครั้งหนึ่ง และก็จะไปเกิดในที่ ๆ มีควาญช้างเหล่านั้น อยู่ เพื่อให้ควาญช้าง เหล่านั้นพ้น ความทุกข์ ได้สุขสบาย เพราะช้างเผือกนั้น มีค่าเท่าสุวรรณ ก็ในโลกมนุษย์นั้นมีควาญช้าง คนไหนบ้าง ที่เป็นบัณฑิต จบจากมหาวิทยาลัย หรือเป็นเศรษฐี หรือคนร่ำรวย เล่า คนเหล่านี้ จะไปเอาช้างมาเลี้ยงได้ อย่างไร พวกเขาขี่แต่รถยนต์ อันช้างเผือก จะเกิดขึ้นใน โลกมนุษย์ได้นั้น ในโลกมนุษย์ ต้องประกอบไปด้วยสิ่งสามประการ ที่สำคัญ คือ หนึ่งต้องมีพระมหากษัตริย์ นารายณ์อวตาร ทรงทศพิธราชธรรม สองต้องมีประชาชน ที่เป็นคนดีเกิด ขึ้นในบ้านเมืองนั้น มากกว่าหนึ่งคน ต้องมีแก้วมญี อันล้ำค่า เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งดวง แก้วมณีแต่ละดวง ก็มีความหมาย แต่ละอย่างตามชื่อนั้น ๆ จึงเป็นมงคล ต่อบ้านเมื่อง และก็เหตุที่ไม่สามารถ ระบุชื่อของผู้รับได้ เพียงคนเดียว ก็จะเป็นการดูหมิ่นผู้อื่น ที่เป็นคนดีและมีบารมี พอที่จะปฎิบัติตามกฎ ทั้งแปดข้อนั้นได้ และก็ต้องการ ผู้ที่สมัครใจจะรับเท่านั้น ไม่ใช่ยัดเยียด ให้กับเขา และ ครั้งก่อนนี้เธอ ก็ได้บอกพวกเขาไป แล้วว่า อย่าให้อัญมณี กับผู้ที่ไม่รู้คุณค่า ก็ในเมื่อผู้ที่เข้ามา ให้กำลังใจเธอ เป็นคนดี และมีมากกว่าหนึ่งคน เหตุใดพวกเขา จึงไม่สมัครใจที่จะให้จับฉลากกันละ ?

▬ และถึงแม้เขา จะได้แก้วมณีไป แต่หากปฎิบัติไม่ได้ ตามกฎทั้งแปดข้อนั้นแล้วเขาก็ต้อง เอาแก้วมณีไป ถวาย ให้กับพระแก้วมรกต และเขียนชื่อจริง นามสกุลจริง และบอกจุดประสงค์ และข้อห้าม ต่างๆไว้ เพื่อไม่ให้คนอื่น นำเอาไป แก้วมณีนั้น ก็จะตกเป็นสมบัติ ของแผ่นดิน และของพระพุทธศาสนา ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใด เอาไปขายได้อีก เพราะได้ชื่อว่า เป็นสมบัติของ พระพุทธศาสนาแล้ว ไม่ได้เป็นสมบัติของชาติ เพียงอย่างเดียว หากเป็นสมบัติ ของชาติ เพียงอย่างเดียว ต่อไปรัฐบาล อาจจะเอาไปขายได้ แต่นี้ได้ชื่อว่าเป็นสมบัติของศาสนาแล้ว จะเอาไป ขายไม่ได้ ของจึงต้องตก อยู่กับแผ่นดินไทย ตลอดไป และเขาก็จะได้ชื่อว่าได้ทำบุญ ให้กับประเทศชาติ และ พระพุทธศาสนา ได้ชื่อว่าเป็นคนดี ของแผ่นดิน เหตุใด จึงปฎิเสธการ ทำความดีนั้น และคิดเป็นอย่างอื่น ก็เมื่อเธอ และท่านเอราวัณ เทวบุตรกายสีขาวอมชมพู เปิดโอกาสให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น เป็นคนดีของ แผ่นดินแล้ว เหตุใดจึงไม่รับละ ?

▬ " จะเปรียบไปว่า" อัญมณีนั้น หากอยู่ตามธรรมชาติ ของเขา ยิ่งนานเท่าไร ก็จะสวยสดใสมากขึ้น เท่านั้น แต่หากเราเอามา เจียระไน ก็จะยิ่งสวยงามมากขึ้น แม้แต่อัญมณี ที่มีตำหนิ มีรอยแตกร้าว อยู่ภายใน หากได้ช่าง ที่มีผีมือนำไป เจียระไน ตำหนิรอย แตกร้าวนั้น ก็จะกลับกลายเป็น ทำให้อัญมณ ีชิ้นนั้น มีสีสวยงาม ขึ้นมาได้ มีคุณค่า สามารถ นำมาประดับร่างกายได้ แม้แต่หิน หรือก้อนดิน หากเรารู้จักนำมาทำให้สวยงาม ก็สามารถนำ มาประดับร่างกาย ให้สวยงามได้ จิตใจผู้เป็นเจ้าของ ก็สวยงามตามไปด้วย แม้ผู้คนที่พบเห็น ก็ยังชื่นชม

▬ หรือนักอัญมณี ทั้งหลายจะเรียนรู้ เพียงเพื่อให้รู้ว่าอัญมณี ทั้งหลายนั้น เป็นเพียงแร่ธาตุ ต่าง ๆ เท่านั้นหรือ เมื่อเรียนรู้แล้ว ว่าอัญมณีทั้งหลายนั้น เป็นเพียงแร่ธาตุ ต่าง ๆ แล้วก็เที่ยวประกาศว่า เขาได้เรียนรู้ แล้วว่ามัน เป็นเพียง แร่ธาตุเท่านั้น ลืมคิดไปว่า อัญมณีนั้น ก็คือครูบาอาจารย์ ของตัวเอง เหตุใดจึง ไม่ยอมเรียนรู้คุณค่า ของอัญมณี และความสวยงาม ที่ซ่อนอยู่ใน อัญมณีด้วยเล่า เหตุใดนักอัญมณีทั้งหลาย จึงไม่เจียระไนตัวเอง ให้สวยงาม เหมือนอัญมณีเล่า

แล.. นักอัญมณีทั้งหลาย ก็ในเมื่อเจ้า ได้ศึกษาเรียนรู้แล้ว ว่าอัญมณีนั้น เป็นเพียงก้อนดินหรือแร่ธาตุ ตามที่ เจ้าได้ศึกษามา เหตุใดเจ้าทั้งหลาย จึงไม่ป่าวประกาศ บอกออกไปว่า อย่ามาเรียน อย่ามาศึกษาเลย มันเป็น เพียงก้อนดิน และแร่ธาตุเท่านั้น เหตุใดเจ้า จึงไม่ช่วยให้พวกเขา ให้ได้พ้นจากความสวยงาม ไปได้เล่า? หรือเจ้าเอง ก็กลัวอดตาย กลัวคนทั่วไป จะว่าเจ้า โง่เขลา ไปเรียนรู้ก้อนดินก้อนกรวด เหตุใด เจ้าทั้งหลายจึง ไม่เจียระไน ปัญญาจองเจ้า ?

แล.. พ่อค้าแม่ค้า ที่ค้าขายอัญมณี ทั้งหลาย เหตุใด ท่านทั้งหลาย จึงเที่ยวป่าวประกาศว่า พลอยนั้น ด้อยค่ากว่า เพชร เล่า ? แล้วใครเขา จะมาซื้อของ ๆ ท่าน เล่า ? เหตุใดท่าน จึงดูหมิ่นและเหยียดหยาม ของที่ ท่านค้าขาย เล่า ? เหตุใดท่าน จึงไม่เจียระไน คำพูด และจิตใจ ของท่าน ให้สวยงาม ดั่งอัญมณีเล่า? เหตุใดท่าน จึงไปกราบ พระขอพร ให้ค้าขายดี ๆ ก็ในเมื่อของ ที่ท่านขายอยู่นั้น ท่านยังดูหมิ่นแลเหยียดหยาม แล้วท่าน ยังมีหน้าไป ขอพรพระอีก ท่านทั้งหลาย ควรเอาอย่าง อัญมณีเมื่อมีอายุนานวันไป ก็ยิ่งมีคุญค่ามากขึ้น ควรเจียระไน ตัวเอง ทั้งร่างกาย และจิตใจ ให้สวยงาม จึงจะเกิดอัญมณี ที่สวยสด งดงาม อยู่ภายใน จิตใจ เมื่อพูดจาออกไป คนก็เอาคำพูดนั้น มาประดับใจ ให้ประทับใจได้ จึงจะได้ชื่อว่า เป็นบัณฑิต ที่เจียระไนแล้ว อัญมณีจะดี อยู่ที่สีแสง แม้ตำหนิแตกร้าวภายใน มิสูญสิ้นคุณค่าแต่อย่างใด หากพบช่างที่เยี่ยมฝีมือ คนฤาจะดีอยู่ที่จิตใจ แม้รูปจะสวยรวยทรัพย์สิน แต่น้ำคำที่ออกยังบอกเป็นใน ว่าด้อยน้อยค่ากว่ามณีดิน ...คารมจาก ท่านกายสีเหลือง ของคนหาพลอย ..21/9/04

▬ แต่เมื่อท่านทั้งหลาย เหล่านั้น ลงเสียงส่วนใหญ่ ให้ยกเลิกไปก่อน และเมื่อนานไป ก็จะมีคนดีเพิ่มขึ้น อีก หลายคน ก็จะเป็นผลดี ต่อบ้านเมือง และมีคนดี ให้เลือกมากขึ้น แต่อย่าว่ากันหนา เพราะเปิดโอกาสให้ ท่านทั้งหลายแล้ว แต่ท่านทั้งหลาย ไม่รับเอง ส่วนเรื่อง ความปลอดภัย เธอก็บอกไปแล้ว มิใช่หรือ? ท่านทั้งหลายเหล่านั้น ควรจะแยกแยะได้ ท่านถาม ผมตอบว่า ผมบอกพวกท่านไปแล้ว ผ่านน้องชายผมไป และผมถามท่านว่า อย่างนั้น ผมควรทำอย่างไรดี ? ท่านตอบว่า เธอควรยกเลิก ก่อนต่อไป จะมีผู้ที่มีบุญจริง ๆ เกิดขึ้นมากมาย และ เธอได้บอกอะไร บางอย่างกับ พวกเขาไป แล้วหากพวกเขาทำได้ เขาควรได้ไป ขอบคุณครับ ผมกล่าวขอบคุณท่าน และท่านก็หายไป ถึงท่านทั้งหลาย เมื่อท่านลงมติกันให้ยกเลิกก่อน ผมก็ขอยกเลิกก่อน ตามความเห็นของท่าน แต่ผมก็จะเก็บ แก้วมณีไว้ รอคนผู้นั้นจริง ๆ และหากท่านทั้งหลาย กลับไปอ่าน ข้อความที่ผมเคยเขียน เล่าเรื่องไว้ให้ดี ๆ ท่าน จะพบว่า ผมเคยบอกอะไร กับพวกท่านไป แล้วหลายอย่าง แต่ผมจะไม่ไปท้าวความนะครับ เพราะข้อมูลของ ผม ที่ผมเคยเขียนเล่า ให้ท่านไป ตอนนี้บางตอนผมก็ ยังหาไม่เจอเลยครับ คอมพิวเตอร์ของผม ที่นี่ไฟดับวัน ละเป็นร้อยครั้ง เห็นจะได้ครับ แบตเตอร์รี คอม ผมพังจะหมดแล้ว ละครับ อย่าเครียดนักครับ อ่านเป็นนิทานไป นะครับ ผมจะร้องเพลง ผ่านตัวหนังสือให้ฟังครับ ฟังนะ

Stoney. (LOBO)

I've know her since we both were kids.
I recall the silly things we did.
She would want to ride up on my back.
To keep from sleepin'on crack.
I didn't think of it back then.
But even when she did not win.
She was happy just to play.
Stoney likes to live out everyday.
*Stoney, happy all the time.
Stoney, life is summertime.
The joy you find in livin' everyday.
Stoney how I love your simple ways.
The times when no one understood.
Seems that Stoney always would.
We walk for hours in the sand.
She would always try and hold my hand (Repeat *)
Now I don't recollect the time.
I fell in love with this old friend of mine.
Or when I first saw in her eyes.
What she tried so not to hide. (Repeat* til fade)

สวัสดีครับ จาก...คนหาพลอย...21/9/04

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1803