อาถรรพ์ของพลอย ภาค 32

เล่าเรื่องโดย คนหาพลอย

▬ สวัสดีครับ ผมเล่าเรื่องของพม่าเป็นอย่างไรบ้างครับ ? แต่ทีนี้ ผมมีเรื่องจะเล่า ให้ท่านทั้งหลายฟัง ก่อนครับ สำคัญด้วยซิ ผมได้มาสำรวจที่เมือง เคลล์ อยู่ใกล้ๆกับ ประเทศบากอง ที่นี่มีโรคระบาด เกิดขึ้นอีกแล้ว ละครับ ท่านจำโรค อีโบร่าได้หรือป่าวครับ ที่นี่มีคนตาย ไปเยอะ แล้วทางรัฐบาล ได้สั่งให้ผม และคณะสำรวจกลับ เมืองหลวงก่อน ด่วนเลยครับ ผมคงต้องรอ ให้โรคระบาดหาย ก่อนครับ และอาจจะเป็นเหตุ ให้ต้องเลื่อนประมูลงาน ออกไปอีก (เราคาดกันว่านะครับ แต่ตอนนี้ยัง ไม่ได้เลื่อน)

▬ เขาว่าโรคนี้ มากับสัตว์ป่า หลายชนิด คนที่นี่ชอบล่าสัตว์ป่า มากิน โดยเฉพาะ ลิง กอริล่า และพวกกวาง หรือ ละมั่ง บางวัน ผมก็ต้องกิน กับพวกเขาครับ เพราะไม่มีอะไรจะกิน แต่ผมไม่ได้กิน เนื้อลิงนะครับ มีสัตว์อยู่ชนิด หนึ่ง ตัวเหมือนม้าลาย แต่สีน้ำหมาก เหมือนม้าแกลบ หน้าแหลม เหมือนชะมด แต่คอไม่ยาว แต่ลิ้นยาวดูแล้ว ตลกดี คนที่นี้ก็ชอบ เอาเนื้อของมันมากิน ท่านทั้งหลาย อย่าไปทานเนื้อสัตว์ป่า นะครับ ของเราจะไม่เหลือไว้ ให้ลูกหลาน ได้ดูแล้ว เกือบจะหมดป่า ไปแล้ว ที่นี่ (เมืองเคลล์) มีสัตว์ป่าเยอะมาก ขนาดโรงแรม (เป็นบังกะโลมากกว่า) ที่ผมพัก ก็ยังเลี้ยงสิงโต ไว้เลยครับ ด้านหลัง เป็นสวนป่า และลำธาร น้ำเล็กๆ เขาปลูกดอกไม้ แซมไว้เต็มไปหมด เวลาทานอาหารเย็น เสร็จแล้วผมก็ ชอบไปเดินเล่น ก่อนเข้านอน เมื่อคืนนี้ ผมไปเดินเล่นมา เจอสิงโต ที่เขาเลี้ยงไว้ หลุดออกมาตัวหนึ่ง วิงหนีกัน แทบแย่ แนะครับ ผมวิ่งไปเจอ คนผู้หนึ่งเข้า เขารีบพาผมหนี ฉุดกระชากลากแขนผม แทบตามไม่ทัน แน่ะ

▬ แล้วมา หยุดยืนพัก เหนื่อยกัน ณ ที่แห่งหนึ่งคล้าย ๆ สวนดอกไม้ มีแต่ดอกไม้สวยงาม เต็มไปหมด แต่ละดอก แต่ละช่อ กำลังแย้ม กำลังจะบาน แต่ละดอกมีสีสัน สวยงาม ส่งกลิ่นหอมตลบ อบ อวน ไปหมด ดอกไม้พวกนี้ แปลกมาก มันไ ม่มีลำต้น ผมเจอดอกไม้ชนิดหนึ่ง ดอกสีแดงขาว อมชมพู คล้ายดอกกุหลาบ แต่ไม่ใช่ ผมค่อยๆ เอามือช้อนหยิบ ขึ้นมาดม กลิ่นมันหอม ชื่นใจมาก คล้าย ๆ กลิ่นดอกราชาวดี บ้านเราที่ตอนเช้าๆ จะหอมมาก จนไม่อยากออกจาก บ้านไปไหน กลีบดอกซ้อน ๆ กันแต่ละกลีบเรียวงาม ดังสร้อยสุคลธร เกษรแย้ม อยู่ตรงกลาง ดุจ รุจรินทร์ ผมเอา สองมือ ประคองกอบขึ้น มาหลับตา ดอมกลิ่นหอม ๆ ของมัน อย่างชื่นใจ หากแม้น เปลี่ยนเป็นแก้ม ชมพูขาว ๆ หน้า หวานๆ ของสาวใด สักคน คงจะดีกว่านี้แน่ ได้ยินเสียง ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า ชื่นใจหรือ? ผมลืมตามองไปตาม เสียง เห็นชายคนหนึ่ง แต่งองค์ทรงเครื่อง เหลืองอำพัน ทองไปทั้งตัว มีประกายแสง รัศมีดุจสุรีย์ รุ่งอรุน ยืนยิ้มให้ ผมอยู่ ผมค่อย ๆ คลายมือจากดอกไม้ ให้ลอยกลับไปที่เดิม แล้วถามชายผู้นั้นว่า ท่านเป็นใครหรือ ? เขาได้แต่ยิ้ม ไม่มีเสียงตอบ ผมนึกถามตัวเอง อยู่ในใจว่า แล้วคนที่พาผมหนี มาที่นี่ไปไหนแล้วละ ? ไม่ต้องมองหาหรอก มานี่เถิด ชายชุดเหลืองเอ่ยขึ้น อีก

▬ เธอทำผิดไว้เธอต้องถูกลงโทษ ผมสะดุ้ง ถามเขาไปว่า ผมทำผิดอะไรหรือ ? เขาไม่ตอบแต่ยิ้ม และเรียกให้ผม เดินตามไป เมื่อผมก้าวเดิน เพียงก้าวเดียว ก็มาถึงสถานที่ แห่งหนึ่ง กว้างโล่ง ใหญ่ ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์ แต่สุกสดใส สว่างไสวไปทั่ว ผมก้มมองพื้น ที่ผมยืนอยู่ เหมือนมีใครมาปูพรม สีขาวดุจปุยเมฆไว้ เมื่อผมเงยหน้าขึ้น มีใครอีกคนหนึ่งยืนยิ้ม ให้ผมอยู่ แต่งองค์ทรงเครื่อง สีม่วงอัญชัญ มีประกายรัศมี ดุจเบ็ญจรงค์ ชมจันทร์ (รุ้งห้าสี) ชายในชุดสีม่วง ถามผมขึ้นมาว่า เธอรู้ไหมว่าทำ ผิดอะไรไว้ ? ผมได้แต่ส่ายหน้า ไปมาแสดงอาการไม่รู้ เขาพูดขึ้นมาอีกว่า ข้อเขียน ของเธอครั้งที่แล้วๆ มาไปว่า คนอื่นเขาไว้ ดังนั้นเธอ จึงต้องถูกลงโทษ ผมถามไปว่า ท่านทั้งสองเป็นใครกัน ทำไมจึงต้องมา ลงโทษผม? เขาพูดขึ้นมาว่า เราไม่อยาก ให้เธอทำผิด เธอรู้ไหมว่า เธอทำผิดอะไร ? ผมไม่ตอบ เขาถามว่าเธอยินดี จะรับโทษไหม? ผมพยักหน้ารับ ชายแต่งชุดสีม่วง พูดขึ้นมาว่า เธอไปเขียนว่า คนอื่นเขาไว้ อาจจะเขียนโดย หยอกล้อเล่นเพราะคิดถึง หรืออาจจะเขียนว่า โดยไม่ ตั้งใจ อาจทำให้เขา มีความรู้สึกที่ไม่ดี แก่เธอ หากเขาไม่ยกโทษ ให้เธอๆ ก็จะมีบาป เธอควรจะ ขอโทษเขาและ อโหสิกรรมให้แก่กัน ไม่จองเวรกัน เอ้าเขียนสิ ครับ หากผมเขียนว่า ใครไว้ทำให้ท่านใด มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อ ผมขอจง ยกโทษให้ผมด้วย และอโหสิกรรม ให้แก่กัน และกันด้วยนะครับ เขียนแล้วครับ

▬ เราต้องลงโทษเธอ โดยการให้เธอเขียน บอกวิธีการรักษาโรค ชนิดหนึ่ง โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องไปเสียเงินค่ารักษา โรคอะไรหรือ? และท่านเป็นหมอหรือ ? ผมถาม เขาพูดขึ้นมาว่า ไม่มีโรคชนิดใด ที่เรารักษาไม่ได้ เธอจงเขียน ตามที่เราบอก เถิด วิธีการรักษาโรคอ้วน และโรคไตวายนั้น ในสมัยโลกมนุษย์ ยังไม่เจริญ เราจะใช้ แก่นของต้นข่อย เอา เปลือกออก แล้วทุบปลายให้ซ้ำ ทำไม้สีฟัน และแช่เป็นน้ำบ้วนปาก ปัจจุบันนี้โลกมนุษย์ ใช้แปรงสีฟัน และยา สีฟัน แต่มนุษย์ทั้งหลาย ลืมแปรงลิ้น ของตัวเอง จึงทำให้ลิ้นของตัวเอง ไม่สะอาด มีเชื้อโรคติดอยู่ มากมาย และ ลืมล้าง ทำความสะอาด โพรงจมูกของตัวเอง ทำให้มีเชื้อโรค สะสมอยู่มากมาย เกิดอาการอับชื้น เน่าเหม็นสิ่งหล่า นี้เมื่อกระทบกับ ต่อมของน้ำลาย จะทำให้บางคน น้ำลายเหนียว และมีกลิ่นปาก เชื้อโรคบางชนิด ที่ติดอยูที่ลิ้น จะมีผลต่อน้ำลาย เมื่อเวลา กลืนน้ำลายลงท้องจะทำให้หิวอาหาร เกิดความอยากกิน และกินไม่เป็นเวลา ทำให้ ไตต้องทำงานหนัก บางคนกลาย เป็นโรคอ้วน บางคนผอม เป็นโรคไตวายเพราะไต ทำงานผิดปกติ หากมนุษย์ ทานอาหาร ธรรมชาติให้พออิ่ม พอเพียง เพื่อทำงาน ดื่มน้ำสะอาดมากๆ แต่น้ำนั้น หากสะอาดมากเกินไป จะเป็น อันตรายมาก กับไตควรเลือกน้ำธรรมชาติ ที่มีแร่ธาตุ อุดมสมบูรณ์ ต่อร่างกาย และแปรงฟัน และลิ้นให้สะอาด หลังอาหาร ก็จะทำให้ทานอาหาร ได้เป็นเวลาไม่มีกลิ่นปาก กระเพาะและไต ก็มีเวลาพักผ่อน ไม่ต้องทำงานหนัก หากใครทำได้ตามนี้ ไม่เกินหนึ่งปี โรคไตก็จะหาย โรคอ้วน ก็จะหมดไป กลิ่นปากก็จะไม่มี อารมณ์ ก็ดีขึ้นพูด จาก็ไพเราะ น่าฟัง เธอเขียนหรือยัง ? เขียนแล้วครับ ผมตอบ เขียนกำกับลงไปอีกว่าอ ย่าลืมแปรงลิ้น แปรง สักอาทิตย์หนึ่ง อาการอ้วกก็จะหายไป จะชินไปเอง กลิ่นปาก จะหายไปภายในหนึ่งเดือน ครับเขียนแล้ว ดีมาก โทษของเธอ ยังไม่หมด เสียงของชาย กายสีเหลือง พูดขึ้นมาบ้าง ผมถามว่ายังมีอะไรอีกหรือ ?

▬ท่านตอบว่า เธอก้มลงมอง ไปข้างล่างซิ ผมมองไปตามที่ ท่านชี้มือให้ดู แล้วท่านพูดต่อไปอีกว่า เธอเห็นกรุงเทพฯไม? ผม มองเห็นกรุงเทพ ฯ เมืองหลวงของเรา ได้เกือบทุกตารางนิ้ว ท่านพูดต่อไปอีกว่า ที่กรุงเทพฯ มีรถติดมากมายนั้น เกิดจาก การจัดการ จราจรของรถไม่ถูกต้อง เธอเห็นไหม ? ว่าถนนทุกสายวิ่ง เข้าเมืองหลวง เป็นเส้นตรงเกือบจะ ทุกทิศ หากเราจัดการ อยู่แต่ตรงกลาง ด้านนอกรอบๆ เมืองก็ยังติดอยู่ ขอให้เธอ จงเขียนตามที่ ฉันจะบอกให้ละ เอียด จะมีคนผู้หนึ่ง เป็นผู้มีคุณต่อแผ่นดิน เมื่อท่านได้อ่านแล้ว ท่านจะเข้าใจได้ดีมากกว่า เธออีก และสามารถให้ นำไปปฏิบัติ ให้เห็นผล และเกิดประโยชน์ได้ ภายในหนึ่งปี (อ่านช้า ๆนะจะเข้าใจ)

▬ เธอรู้ไหม คนที่เข้ามาทำงาน ในเมืองหลวงนั้น รักและชอบ ความสบายเลยทำให้ต้องลำบาก ฉันจะยกตัวอย่าง ให้เธอดูเช่นคน ที่อยู่อยุธยาตอนเช้า จะเข้ามาทำงานในกรุงเทพ ก็อยากจะนั่งรถเมล์ ครั้งเดียว ถึงที่หมายเลย หรือคนที่มีบ้าน อยู่แถวพุทธมณฑล แต่ที่ทำงานอยู่ดอนเมือง หรือคนที่มีบ้าน อยู่ธัญญบุรีแต่ที่ทำ งานอยู่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หรือคนที่อยู่ที่บางนา แต่ที่ทำงานอยู่รังสิต คนที่บ้าน อยู่มีนบุรี แต่ที่ทำงานอยู่ปาก เกร็ด คนเหล่านี้ชอบที่จะนั่ง รถครั้งเดียวถึง ที่ทำงานเลย พวกเขา เมื่อเจอสภาพรถติด ก็ไม่อยากนั่งรถเมล์ หากคนไหน ที่มีรถส่วนตัว ก็นำออกมาขับ ไปทำงาน ทำให้รถยิ่งติดกัน มากขึ้นในชั่วโมงเร่งด่วน ส่วนรถเมล์นั้น ก็อยากได้เงิน ค่าโดยสารเยอะ เพราะกลัวขาดทุน มีผู้โดยสาร เต็มคันรถ ต้องไปให้ถึงปลายทาง ทำให้ลืมเรื่อง ค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่นค่าน้ำมัน และค่าสึกหรอของรถ และการบริการภายในรถ ที่ผู้โดยสารต้องเบียด อัด กันเป็นเหมือนปลากระป๋อง ส่วนผู้ที่มีหน้าที่ จัดการการปัญหา การจราจรนั้น ก็ไม่ได้สอน ให้ผู้ที่มีรถส่วนตัว เคารพสิทธิ ของผู้ที่ไม่มีรถ และต้องใช้รถเมล์ มัวแต่กลัวรถ จะติดต้องสร้างถนนให้กว้างๆ ใหญ่ๆ มีหลายช่องทาง เข้าไว้ในถนนเส้นเดียว ถนนบางเส้นทาง มีถึงสิบช่องทาง แต่ปล่อยให้รถเมล์ ไม่มีช่องทาง เป็นของตัวเอง รถเมล์ นั้นต้องการ แค่สองช่องทางเท่านั้น คือไป และกลับ แสดงให้เห็นว่า ผู้มีหน้าที่จัดการ ปัญหาการจราจร ไม่ได้เคารพ สิทธิ ของผู้ที่ใช้บริการ รถเมล์ รถเมล์นั้น คันหนึ่งสามารถ บรรทุกผู้โดยสารได้เกือบหนึ่งร้อยคน แต่ไม่ได้รับการ ให้สิทธิพิเศษ จากเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ที่ใช้รถส่วนตัว รถส่วนตัวนั้น บรรทุกคนโดยสารเต็มที่ ได้แค่ห้าคนหรือเจ็ด คนเท่านั้น เองแต่มีช่องทาง ให้วิ่งได้มากกว่ารถเมล์อีก นี่เป็นเรื่องที่ผิดมากๆ ผู้ที่มีรถส่วนตัว ใช้นั้นส่วนใหญ่ก็ เป็นคนมี ความรู้ ความสามารถ มีการศึกษาดี รัฐต้องสอน ให้พวกเขาเคารพและเข้าใจสิทธิ และปัญหาของผู้ที่ไม่ มีรถส่วนตัว ใช้บ้าง ไม่ใช่ถนนเส้นทางหนึ่ง มีกี่เลน ก็ปล่อยให้ พวกเขาใช้ได้เต็มที่ จนไม่มีช่องจะให้รถเมล์วิ่ง และถนนเส้นทางหนึ่ง ก็ปล่อยให้มีรถเมล์ วิ่งทับซ้อนเส้นทางกันนัวเนียยั้วเยี้ยไ ปหมดรถเมล์ แต่ละคันก็แย่งผู้ โดยสารกัน วิ่งแข่งกันปาดหน้ากันไปมา ทำให้ไม่เป็นระเบียบถนนบางเส้นทาง มีรถเมล์วิ่งแข่งกัน เต็มไปหมด ทั้งๆ ที่รถเมล์ แต่ละคัน ก็เป็นของรัฐ มีอะไรมากกว่านั้น หรือจึงต้องวิ่งแข่งกันแย่ง ผู้โดยสารกัน (หากไม่แก้ไข จะบอกนะ ว่าเขามีอะไรกันอยู่) อย่างนี้เป็นต้น เธอพอจะเข้าใจหรือยัง? พ่อจะเข้าใจ แล้วครับ แต่ช่วยขยายความ หน่อยนะครับ ได้ซิ เราจะขยายความให้ เช่น รถเมล์ เกือบจะทุกสาย ชอบวิ่งระยะทางไกลๆ เช่นวิ่งจาก นครนายกหรือธัญบุรี ไปถึงปลายทาง ที่ขนส่งหมอ ชิดใหม่ บางสาย วิ่งจากรังสิต ผ่านเข้ามาในตัวเมือง ไปสุดปลายสายที่ขนส่งสายใต้ บางสาย วิ่งจากอยุธยาไปสุด ปลายสาย ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บางสาย วิ่งจากมีนบุรี ไปสุดปลายสายที่ขนส่งสายใต้ บางสาย วิ่งจากขนส่งสาย ใต้ไปสุดปลายสาย ที่บางนา และบางสาย วิ่งจากมีนบุรี ไปสนามหลวง อย่างนี้เป็นต้น ดูแล้วเหมือนว่าดีเพราะ มีรถเมล์ หลายสายผ่าน และใช้ถนนเส้นเดียวกัน ถนนบางเส้น มีรถเมล์ผ่านเป็นสิบสาย

▬ ถนนบางเส้น รถติดเพราะ มีรถเมล์มาก เมื่อท่านพูดแล้ว ก็ชี้มือไปตามถนน ที่พูดให้ผมดู และพูดต่อไปอีกว่า บางคน ต้องเอารถส่วนตัว ไปส่งลูกที่โรงเรียน ก็เพราะไม่อยากพาลูกนั่งรถเมล์ ไปยืนเบียด กับผู้โดยสารคน อื่นๆ ผู้คนต้องตื่นแต่เช้า ออกจากบ้าน เพราะกลัวรถติด ทำให้ไม่มีเวลาทำอาหารเช้า ทานเองที่บ้าน เมื่อมาถึงที่ ทำงาน แล้วค่อยหา ที่ทานอาหารเช้า จึงทำให้มีรถรับจ้าง เกิดขึ้นอีกมากมาย ในตอนเช้า ที่ต้องวิ่งเข้าตัวเมืองไป ส่งของ จึงทำให้รถติดหนักขึ้น ไปอีก การแก้ปัญหา รถติดนั้น ต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย ผู้ว่าราชการจังหวัด รอบๆ กรุงเทพฯ ก็ต้องเข้ามาช่วยกันด้วย เพราะไม่ใช่ปัญหา ของเขตกรุงเทพฯอย่างเดียว เธอจงเขียน ตามที่ฉันบอก ต่อไปฉัน จะยกตัวอย่างให้เธอดู (อ่านช้าๆนะจะเข้าใจ)

▬ หากเราเอา เครื่องหมายบวก ( + ) วางทาบไปบน เมืองหลวงของเรา เราจะพบวิธีแก้ปัญหา สี่ด้าน และค่อยๆ แก้ทีละด้าน ให้อนุสาวรีย์ ชัยสมรภูมิเป็นศูนย์กลาง ยกตัวอย่าง จะแก้ด้านทิศเหนือก่อน ต้องแก้จาก เส้นมีนบุรี มาอนุสาวรีย์ ชัยสมรภูมิ และแก้จากอยุธยา หรือรังสิตมา ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นี่เรียกว่าด้านที่หนึ่ง การแก้คือ
1ต้องจัดช่องทาง จราจรให้รถเมล์ วิ่งได้สะดวก ตลอดทั้งเส้นทาง ในด้านซ้าย (ไม่ใช้ตรงกลาง ถนนด้านขาว) ตีเส้น สีเหลือง ช่องจราจร ให้รถเมล์วิ่งไปกลับ ได้ตลอดทั้งเส้นทาง และไม่ให้รถเมล์ วิ่งแย่งผู้โดยสารกันเอง
2ตั๋วรถเมล์ ราคาสิบบาท ใช้ได้ทั้งวันวันละสี เปลี่ยนสีทุกวัน จะไปที่ใดในกรุง และปริมณฑล ก็ได้ใช้ตั๋วใบ เดียว ขึ้นรถเมล์ได้ทุกสาย ในกรุงเทพฯ
3 ในชั่วโมงเร่งด่วน เช่นหกโมงเช้าถึงห้าโมงเช้า และบ่ายสามโมงถึงสามทุ่ม รถเมล์ต้องวิ่ง เป็นเส้นตรง เช่นวิ่งมา จากนครนายกหรือธัญบุรี วิ่งมาถึง คลองหนึ่งรังสิตแล้ว ต้องส่งผู้โดยสารลง และกลับรถไปรับผู้โดย สาร จากนครนายก ธัญบุรี มาอีก ห้ามวิ่งเข้าไปที่ อนุสาวรีย์ชัยมสรภูมิ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ ของรถเมล์ในเส้นทาง ที่จะไปลาดพร้าว รับช่วงต่อไป ไม่อย่างนั้น รถจะวิ่งไปออกัน อยู่ตามทางแยก ต่างๆ ทำให้รถติดเสียเวลา รถแต่ ละคันนั้น ใหญ่ๆ ทั้งนั้นจะขยับ ไปทางไหนก็ลำบาก แต่คนเรานั้น ตัวเล็กเดินไปไหน มาไหนก็สะดวก ปล่อย คนให้เดินไป ขึ้นรถคันอื่น ต่อให้ถึงที่หมายนั้น ง่ายกว่า จะขับรถคันเดียวไปให้ถึงที่หมาย ในช่วงที่มีรถมาก
4 การปล่อยรถเมล์ จากนครนายกหรือธัญบุรี ต้องปล่อย ให้รถเมล์แต่ละคัน วิ่งทิ้งระยะห่างกัน อย่างน้อย สองถึงสาม ป้ายรถเมล์ ต่อคันเพื่อให้ผู้โดยสาร ไม่ต้องแย่งกัน ขึ้นรถคันเดียวกัน หรือรอรถนาน
5 ตามถนน หรือซอยต่างๆ ตั้งแต่นครนายก หรือธัญบุรี ให้ใช้รถเมล์เล็ก หรือสองแถว เล็กรับจ้างรับคนออก มาส่งที่ปากทาง แล้วต้องกลับเข้า ไปรับมาใหม่ ถนนหรือซอยใด ที่เป็นวันเวย์ ได้ก็จัดให้เป็นวันเวย์ เพื่อไม่ให้ รถเมล์ สองแถวเล็ก เหล่านั้น ต้องติดปัญหา การจราจรในซอย หรือจัดให้วิ่งวน เป็นวงกลม ระหว่างซอย ต่อซอย
6 ตั้งแต่ตลาดรังสิต หรือคลองหนึ่ง ต้องแบ่งออก เป็นสองฝั่งคลองรถเมล์ ทุกคัน ห้ามวิ่งข้ามคลอง ต้องใช้สะ พาน ข้ามคลอง เป็นที่กลับรถ เช่นรถเมล์ ที่วิ่งมาจาก นครนายกธัญบุรี เมื่อมาถึงรังสิต คลองหนึ่ง ก็ต้องส่งผู้โดย สารลง และกลับรถ ไปรับผู้โดยสาร ไปนครนายกอีก (ทำที่กลับรถเมล์ตรงหน้าสะพาน ข้ามคลองหนึ่ง โดยตีเส้น สีเหลือง และปักป้ายห้ามหยุด และมีไฟสัญญาณ เพื่อให้รถเมล์ ได้กลับรถ) และรถที่มา จากอยุธยา เมื่อมาถึงรังสิต ก็ ต้องกลับรถ วิ่งไปรับผู้โดยสาร ที่อยุธยาอีก รถที่มาจาก บางพูน เมื่อมาถึงรังสิต ก็ต้องกลับรถไปรับ ผู้โดยสารมาอีก (เส้นสีเหลือง พาดขวาง ตามถนนหมายถึง ห้ามหยุดรถ หรือห้ามจอดรถ ทับเส้นสีเหลืองนี้)
7 จัดให้รถเมล์ วิ่งรับส่งผู้โดยสาร เหมือนรถไฟฟ้า หรือรถไฟใต้ดิน ให้มีการรับส่ง ผู้โดยสารแบบส่งต่อเป็น ช่วงๆ ของทางแยก ในแต่ละเส้นทาง เพื่อป้องกันปัญหา รถติดตรง ทางแยกขนาดใหญ่ เช่นถนนวิภาวดีรังสิต ให้ รถเมล์ วิ่งรับผู้โดยสาร จากรังสิต (ฝังในห้ามข้ามคลอง) วิ่งผ่านหน้าสนามบิน ดอนเมืองมาแล้ว มาสุดปลายสาย ที่ทางแยก ลาดพร้าว ตรงห้างเซนทรัล ส่งผู้โดยสาร ลงให้หมดแล้ว กลับรถไปรังสิต อีกจัดรถให้พอดี และทิ้ง ระยะห่าง ในแต่ละคัน ไม่ให้เกินสองป้าย รถเมล์เพื่อไม่ต้อง ให้ผู้โดยสารรอรถนาน (ไม่ใช่วิ่งตามกันเป็นขบวน)
7.1 เส้นสะพานใหม่ดอนเมือง ให้รถเมล์วิ่งวน ลอดสะพาน ข้ามถนนวิภาวดี เป็นจุดเริ่มต้น รับผู้โดยสารจาก สะพานใหม่ เริ่มจากทางแยก ไปลำลูกกา ก่อนถึงสนามกีฬา วิ่งผ่านสะพานใหม่ ไปบางเขนแล้ว วนกลับไปสะ พานใหม่อีก ใช้วงเวียน บางเขนเป็นศูนย์กลาง รับส่งผู้โดยสาร
7.2 เส้นลำลูกกา ให้รถเมล์วิ่งจาก ลำลูกกาคลองเจ็ด เป็นจุดเริ่มต้น วิ่งมาสุด ปลายสาย ที่สนามกีฬา ภูประเตมีย์ ของกองทัพ อากาศ ห้ามวิ่งเข้ามา เส้นสะพานใหม่ ดอนเมือง แล้วกลับรถไปลำลูกกา คลองเจ็ดอีก
7.3 เส้นมีนบุรี ให้รถเมล์วิ่งจาก มีนบุรีผ่านหน้าห้างแฟชั่น ไอแลนด์มาสุดปลายสาย ที่ทางแยก ก.ม.แปดตรง ทางสามแยก จุดเริ่มต้นของถนน สุขาภิบาลหนึ่ง แล้วกลับรถ ตรงทางแยกไปมีนบุรีอีก (ตรงทางแยก ก.ม.แปดให้ตี เส้นสีเหลืองยาว คู่กับเส้นสีขาว ของทางม้าลาย ทั้งสามด้าน คือฝั่งไปมีนบุรี ฝังไปสุขาภิบาลหนึ่ง ฝังไปถนน ก.ม. แปด เพื่อให้รถเมล์ กลับรถไปมีนบุรี และกลับรถไป สุขาภิบาลหนึ่ง และกลับรถไป ก.ม.แปดได้)
7.4 เส้นสุขาภิบาลหนึ่ง ให้รถเมล์เริ่มจาก ทางสามแยก ก.ม.แปดวิ่งเป็นเส้นตรง ไปสุดสายที่ ทางแยกลำสาลี แล้วกลับรถ ไปที่สามแยก ก.ม. แปดอีก ตรงทางแยก ลำสาลีก็ตี เส้นเหลืองคู่ กับเส้นสีขาว ทางม้าลายเพื่อให้รถเมล์ มีที่กลับรถได้ และตีวงกลับรถได้พอ เพราะรถเมล์นั้น ยาวกว่ารถธรรมดามาก ต้องใช้พื้นที่ก ารกลับลำเยอะกว่า
7.5 เส้นรามอินทรา เริ่มจาก ก.ม.แปดให้รถเมล์ วิ่งเป็นเส้นตรงไปสุดปลายสายที่ วงเวียนบางเขน (วัดพระศรีมหาธาตุ) แล้วกลับรถไป ที่ทางแยก ก.ม.แปด อีก
7.6 เส้นบางเขน ไปหลักสี่ เริ่มจากวงเวียน บางเขนวิ่งเป็นเส้นตรงระยะสั้น มาสุดปลายสาย ที่ทางแยกหลักสี่ พลาซ่า ห้ามขึ้นสะพานลอย ข้ามไปถนนแจ้งวัฒนะ ให้กลับรถก่อน ที่จะขึ้นสะพานลอย ถนนตรงช่วงนั้น เลยหน้า แบงค์กรุงเทพ มาให้ตีเส้นสีเหลือง และทำป้ายห้ามหยุด เพื่อใช้เป็นที่กลับหัวรถเมล์ ไม่ต้องไปกลับรถ ใต้สะพาน ข้ามถนนวิภาวดี และป้องกัน ไม่ให้รถที่ลงมาจากสะพาน ข้ามถนนวิภาวดีมาขวาง การกลับหัวของรถเมล์
7.7 เส้นถนนแจ้งวัฒนะ ให้เริ่มจากทางแยก กลับรถหน้าองค์การโทรศัพท์ (ตีเส้นเหลือง และทำป้ายห้ามหยุด และติดไฟสัญญาณ) วิ่งเป็นเส้นตรง ไปสุดสาย ที่ทางแยกปากเกร็ดแล้วกลับรถไปที่หน้าองค์การ โทรศัพท์อีกครั้ง ให้วิ่งเป็นวงกลมรีๆ แบบนี้ในแต่ละเส้น ทางรถเมล์ ก็จะไม่มีการติดคน ที่ใช้รถเมล์ ก็จะไม่เสียเวลา และคนก็จะหัน มาใช้รถเมล์มากขึ้น และในชั่วโมงเร่งด่วน ต้องจัดให้รถเมล์ มีความสำคัญกว่ารถชนิดอื่น
7.8 จากทางแยก ลาดพร้าว ตรงห้างเซนทรัล ให้รถเมล์ แต่ละเส้นทางต้องเริ่มจากตรงนี้ เช่นในเส้นทางถนน วิภาวดีรังสิต ให้เริ่มจากกลับรถ ใต้สะพานลอย ลาดพร้าวแล้ว วิ่งไปสุดสายที่สามแยกดินแดง แล้วก็กลับรถมาที่ ลาดพร้าว อีกและจัดรถ ให้พอไม่ต้องวิ่ง ไปที่อนุสาวรีย์ ชัยสมรภูมิ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ ของรถเมล์จากแยก อ.ส.ม.ท.ที่ตัดกับ เส้นถนนรัชดา และอโศก รับช่วงต่อไปให้ ถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เธอพอจะเข้าใจ บ้างหรือยัง? ผมเข้าใจแล้วครับ ท่านพูดต่อไปว่า หากเราจัดการจราจร ของรถเมล์ ในเส้นทาง ของกรุงเทพ และปริมณฑลได้แบบนี้ ก็จะทำให้คนหันมาใช้ รถเมล์มากขึ้น ประหยัดน้ำมัน ได้มากขึ้น

▬ รัฐมีเงิน เหลือพอ ที่จะไปปรับปรุง สภาพของรถเมล์ ให้มีการติดแอร์ และจัดเก้าอี้นั่งได้สบาย แบบรถไฟฟ้าใต้ดิน การขึ้น ลงรถเมล์ แต่ละครั้ง ก็มีความสะดวกสบาย จะไม่มีใครมาบ่นอีกเลย สภาพของรถเมล์ ก็จะเหมือนกับรถไฟฟ้าใต้ ดิน และเหมือนกับ รถบัสที่รับส่ง ผู้โดยสารขึ้นลง จากเครื่องบิน ไปที่ตัวอาคาร สนามบิน แบบนั้นเลย ในแต่ละ เส้นทาง หากเราจัดรถเมล์ ให้พอดี และเหมาะสม กับปริมาณ ของผู้โดยสารได้ ก็จะเกิดความ สะดวกสบาย มากขึ้น รถเมล์ก็จะวิ่งไป และกลับได้เหมือน รถไฟฟ้าใต้ดิน จะไม่เสียเวลา ส่วนตามปากซอย ต่างๆ เราก็ตีเส้นเหลืองไว้ เพื่อไม่ให้รถเมล์ ไปหยุดรถขวางรถ ที่จะออกจากซอย มาวิ่งเข้าเลนด้านในถนนได้

▬ ต้องค่อยๆ ทำที่ละด้าน หากจัดการ ทีเดียวทั้งหมด จะเกิดความสับสนและ จะทำให้วุ่นวาย ไปทั้งระบบประชาชน จะไม่เข้าใจ อาจจะเกิดการ ต่อต้านขึ้นได้ จากผู้ประกอบการ รถเมล์ที่เป็นของเอกชน อาจแก้โดยการ ให้ผู้ประกอบ การเหล่านี้ นำรถมารับจ้าง จากรัฐบาล เป็นเหมาจ่ายรายวัน แบบไม่มีการเปลี่ยนเส้นทาง และจะทำให้รัฐมีรถรอง รับผู้โดยสาร เพียงพอ ในแต่ละเส้นทาง ส่วนค่าโดยสารนั้น ก็อาจจะปรับเปลี่ยนได้ ในบางเส้นทาง ไม่จำเป็นต้อง จ่ายสิบบาท ตลอดทั้งวัน สามารถให้ผู้มีรายได้น้อย และใช้รถเมล์ในเส้นทาง ที่ไม่ยาวมาก จนเกินไปเลือกใช้ได้ เช่นมีบ้าน อยู่ปากเกร็ด แต่มาทำงานที่หลักสี่ ใช้รถเมล์แค่ไป และกลับสองครั้ง ในวันเดียว แบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้อง จ่ายถึง สิบบาทก็ได้ ในชั่วโมง ที่ไม่เร่งด่วน เช่นตั้งแต่ห้าโมงเช้า ถึงสามโมงเย็น ก็ยังสามารถจัดให้มีรถเมล์ ที่วิ่งระยะยาวได้อีกใน บางเส้นทาง เช่นจากรังสิต วิ่งไปขนส่งสายใต้ หรือไปเอกมัย ก็ยังทำได้ เมื่อคนหันมา ใช้รถเมล์มากขึ้น และรถไม่ ติด รัฐก็จะไม่ขาดทุน จะมีเงินเหลือ ไปสร้างรถไฟฟ้า ใต้ดินได้ และนำเงินส่วนหนึ่ง ไปสร้างสะพานลอย ข้ามทาง แยก และถนน และจัดสร้างให้มีหลังคา ตามทางเดิน หรือทางแยกที่คนต้องเดินไปต่อรถ เพื่อไม่ให้ร้อนแดดหรือ ต้องเปียกฝน ตอนฝนตก การขึ้นลงรถเมล์ จากอีกสายหนึ่ง ไปยังอีกสายหนึ่งนั้น ผู้คนก็จะได้รับ ความสะดวกและ ปลอดภัย หากไม่ได้รับ ความสะดวกและปลอดภัยคนก็ไม่อยากลงไปต่อรถสายอื่นตรงจุด นั้นๆ เธอเขียนครบ ตามที่เราบอก หรือยัง ? ลองกลับไปอ่าน ตั้งแต่ต้นอีกที่ซิ เขียนครบแล้วครับ ผมตอบ ดีแล้วเมื่อท่านที่มีคุณต่อ แผ่นดิน มาพบเข้าท่าน จะเข้าใจได้ดีกว่าเธอ ท่านจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งหลายได้ เราเป็นแต่เพียง ช่วยท่าน ในบางครั้งคราว เธอยังมีความสงสัย อะไรอีกหรือไม่?

▬ ตอนที่แล้ว ผมได้เขียน เรื่องน้ำเน่าเสีย ไปถูกต้องหรือไม่? ท่านตอบว่า เธอทำถูกแล้ว แต่การจะย้ายชุมชน แออัด ไม่ให้ปลูกสร้าง รุกล้ำลำคลองนั้น ต้องมีสิ่งล่อใจให้พวก เขาเช่น เราต้องสำรวจ ดูว่าพวกเขามีกี่ ครัวเรือนแน่ แล้วหาที่ดิน ที่ว่างเปล่า ที่ใด สักแห่ง จัดสร้างบ้านพัก ชั่วคราว ให้พวกเขา ได้ย้ายไปอยู่ก่อน แล้วค่อยจัดการ รื้นถอนสิ่งที่ปลูกรุกล้ำ ลำคลอง ออกไปแล้วสร้างขึ้น มาใหม่แล้ว ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ให้สวยงาม ไม่ให้มีการรุกล้ำ ลำคลองอีก และให้เขากลับเข้ามา อยู่อย่างเดิมหากเขาต้อง การ ค่อยๆ ปรับปรุงที่ละชุมชน เพื่อให้เป็นตัวอย่าง ที่ดีกับชุมชนแออัด อื่นๆ จะได้ไม่มี การประท้วง หรือขัด ขา วงการทำงาน การเวนคืนที่ดิน อาจแพงกว่า การสร้างบ้าน ให้พวกเขาอยู่ใหม่อีก

▬ ในกรุงเทพฯ นั้นยังมีที่วัด และที่ของหน่วยงาน ราชการ อีกมาก ที่ให้ประชาชน เช่าอยู่มานานมาก เกินยี่สิบปีแล้ว บางคน มีลูกหลานออกไป ตั้งถิ่นฐานที่อื่น จนร่ำรวยแล้ว ก็ยังไม่ยอมย้ายออกไป อยู่จนกลาย เป็นชุมชนแออัดมี สภาพเก่า เสื่อมโทรม เจ้าของ ไม่สามารถ ปรับปรุงพื้นที่ได้ หรือทำให้สวยงามได้ แบบนี้ก็ต้องไป สร้างที่อยู่ใหม่ ชั่วคราว ให้พวกเขาก่อน แล้วปรับปรุง ของเดิมหรือสร้างขึ้นมาใหม่ ให้ดูสวยงาม เป็นที่น่าอยู่ แล้วให้พวกเขา กลับเข้ามาใหม่ หากพวกเขา ต้องการจะอยู่ที่เดิม เธอเขียนแค่นี้แหละ จะมีคนเข้าใจเอง และเธอก็พ้นโทษแล้ว เธอกลับไป เขียนเรื่องราว ของเธอต่อได้แล้ว ผมถามต่อว่า ครั้งนี้ผมเขียนเรื่องยาวมาก เกรงใจคนอ่านและท่าน เจ้าของเว็บไซต์ เขานะครับ จะทำอย่างไรดี? ท่านตอบว่า เธออย่าวิตกเลย เธอเขียนเรื่อง แม่ยอดหญิงสยามให้ จบก่อน แล้วเราจะ บอกความลับให้ ผมถามว่าความลับ อะไรหรือ? เธอเขียนก่อนซิ ครับ

▬ ผมจะพาท่าน ทั้งหลายไปเที่ยวพม่า ต่อเลยนะครับ เดียวท่าน ทั้งสองจะได้บอกความลับ ให้เราทราบกัน ระหว่าง ที่ผมนั่งอ่านหนังสืออยู่นั้น เจ้าของโรงแรม ก็เดินมาหาผม และถามผมว่า อยากไปเที่ยวพระราชวัง เก่าหรือไม่ ? ผมรีบตอบ ด้วยความดีใจ ว่าอยากไปมาก เขาเรียกลูกสาวทั้งสองมา และก็บอกให้ ลูกสาวทั้งสอง พาผมไปเที่ยว ในพระราชวังเก่านั้น เธอทั้งสอง ก็ขอตัวไป เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เจ้าของโรงแรม บอกให้ผมไป เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ เหมือนกัน ให้แต่งตัวแบบ คนธรรมดา และหารองเท้าแตะ ของพม่า ที่ทำจากหนังวัวมาให้ผม ใส่ เมื่อลูกสาวทั้งสอง ของเขาแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เดินลงบันได ออกมาหาผม ๆ ก็ต้องตกตะลึง เธอทั้งสองแต่ง ตัวเหมือน เมื่อคืนนี้ตอนที่ไปเคาะ ห้องผมไม่มีผิดเลย หัวใจผมเต้นตุบ ๆ แต่ไม่กล้า พูดออกมา ผมหยิกแขนตัว เองดูว่าผมได้ฝันไปอีกหรือเปล่า จนผมสะดุ้งเจ็บ มีรถมาจอด คอยอยู่หน้า โรงแรมคันหนึ่ง คงเป็นเจ้าของ โรงแรมได้เตรียมไว้ให้ มีคนขับมาพร้อม

▬ เธอทั้งสอง ชวนผมเดินไปขึ้นรถ ตลอดทางเธอ ก็ชวนผมคุย ไปตลอดทาง รถวิ่งผ่านหน้าเจดีย์ พระเจ้าบุเรงนอง มาก็ถึงแล้ว ใช้เวลา แค่สิบนาทีเอง หน้าประตูทางเข้า มีทหารเฝ้ายามอยู่สองคน ทหารเดินมาดูเราที่รถแล้วก็ส่งภาษาพม่าให้ กัน หน้าประตูทางเข้ามีป้ายเขียนเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาไทยกำกับไว้ว่า ห้ามเข้ากำลัง ปรับปรุงซ่อมแซมอยู่ แต่เราก็ผ่านเข้ามาได้ รถเข้ามาจอด หน้าซากปรักหักพัง คล้ายๆ กับโบสถ์ หรือวัด ผมมองไปรอบ ๆบริเวณ พื้นที่ทั้งหมด ไม่ใหญ่มากนัก มีซากโบราณเก่าอยู่ สามสี่แห่ง มีสวนดอกไม้อยู่ หย่อมหนึ่ง ไม่ใหญ่นัก มีดอกกุ หลาบ และดอกไม้อื่นๆ อีกหลายชนิด มีผู้ชายวัยกลางคน ๆหนึ่ง กำลังทำสวนถางหญ้าอยู่ เธอทั้งสองพาผมเดิน ไปที่ชายคนนั้น และแนะนำ ให้ผมรู้จักว่า ชายคน นี้เป็นลุงของเธอทั้งสองรับจ้างดูแล สวนดอกไม้ และทำความ สะอาด ในพระราชวังแห่งนี้อยู่ เธอบอกผมว่า ลุงของเธอ รับจ้างทำงานในพระราชวังแห่งนี้ มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว คุณลุงคนนี้ ก็มีท่าทีแปลก ๆ เมื่อรู้ว่าผมเป็นคนไทย แกก็ดีใจใหญ่เลย ชวนกันหาที่ร่ม ๆ นั่งคุยและรับอาสาจะ พาเที่ยว ในบริเวณพระราชวัง ให้ทั่วเลย

▬ ผมคิดอยู่ในใจว่า ในนี้เองก็ไม่เห็นมีอะไรมาก คุณลุงเล่าให้ผมฟังว่า (เล่าเป็นภาษาพม่า แต่เธอทั้งสองแปล ให้ผมฟังอีกที่หนึ่ง) คุณลุงเล่าว่า ในพระราชวังแห่งนี้ มีแกคนเดียวเท่า นั้นที่เข้ามา ทำความสะอาดได้ นอกนั้นแล้ว หากคนอื่นจะเข้ามาช่วย แกทำ หากแก ไม่อนุญาตแล้ว ก็เข้ามาไม่ได้ ทางรัฐบาล เคยส่งทหารมาช่วยกัน ทำความสะอาด แต่ทหารแต่ละคนก็ มีอันเป็นไป เกือบทุกคน บางคนก็เป็นบ้า บางคนก็เป็นไข้รักษา ไม่หาย ต้องมาทำพิธี ขอโทษในนี้ จึงจะหาย แต่ละคนจะเจอผี ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งคนพม่าที่ นี่รู้กันดีว่า เป็นใคร เมื่อคุณลุงพูดแล้ว ก็หันมามองหน้าผม ถามผมว่าอยากรู้ไหมว่าเป็นใคร ? ผมถามว่าเป็นใคร หรือ ? เขาตอบว่า คนพม่าเรียกเธอว่า Queen ยูเรีย (ชื่อพม่าเต็มๆคือ มีน พะ ยา ปะหยิน มะ ยูเรีย) แปลว่า พระราชินี ของพม่าที่เป็นคนไทย หรือมาจากเมืองไทย หรือเมืองยูเรีย ครับ ( คำว่า ยูเรีย คนพม่า ใช้เรียกคนไทยว่า คนยูเรีย เป็นภาษาเดิม ของคนพม่าในสมัย ก่อนนี้ จำไว้นะครับ ท่านทั้งหลาย เขาเรียกเราว่า ยูเรีย คำว่ายูก็หมาย ถึง อยุธยา หรือ อโยธยา เมืองหลวงเก่า ของเรา คำ ว่า เรีย ก็หมายถึง คน ครับ ก็คือคนอยุธยา หรือคนไทย พม่าเรียกคนยูเรีย เข้าใจนะครับ)

▬ คุณลุงแกเล่าต่อไปว่า ในสมัยพระเจ้า บุเรงนอง ได้นำเจ้าหญิงพระองค์หนึ่ง มาจากเมืองไทย คนพม่าในสมัยนี้ ไม่มีใครรู้จักว่าชื่ออะไร แต่เขาเรียกกันว่า Queen ยูเรีย มีเรื่องเล่ากันว่า ในสมัยนั้น เป็นที่รักของประชาชน พม่ามาก แต่เมื่อพระเจ้าบุเรง นอง ตายลงเธอก็ถูก ลูกชายของพระเจ้าบุเรงนอง ฆ่าตาย และได้นำศพมาฝังไว้ที่นี่ เมื่อคุณลุงพูดจบก็เดินไปที่ ริมกำแพงเก่า ๆ ชี้มือให้ผมดูมีรอยดิน นูนขึ้นมา ( ปัจจุบันอยู่หน้า พระราชวังองค์เล็ก ด้านทิศเหนือ ตรงบันได ทางขึ้น เมื่อยืนหันหน้า มองมาทางพระเจดีย์ ของพระเจ้า บุเรงนองจะอยู่ตรงขวามือ และปัจจุบันลุงคนนี้ยังมี ชีวิตอยู่ ยังทำสวน อยู่ในพระราชวังนี้ ) คุณลุงเล่า ต่อไปว่า เมื่อห้าหกปีที่แล้วนี้ มีพระรูปหนึ่ง มาจากเมืองไทย เข้ามาทำพิธี กับพระพม่า และขุดเอาของบางอย่างไป เมื่อทางรัฐบาล รู้เข้าเลยส่งทหารมาขุดดูอีก และได้นำของบางอย่างที่ คิดว่าเป็นของใช้ส่วนตัว ของพระองค์ ไปเก็บไว้ในกรุงย่างกุ้ง ที่ใดไม่มีใครรู้ และหลังจากนั้น มาก็ไม่เคยมีใครเจอ ผีอีกเลย แกเล่าต่อไปว่า ปีหน้า ทางรัฐบาลมีโครงการ จะบูรณะสร้างพระราชวัง ขึ้นมาใหม่ (ตอนนี้สร้างเสร็จ เรียบร้อยแล้ว ตอนที่ผมไปนั้น ยังไม่มีการทำอะไรเลย) หลังจากนั้น แกก็พาพวกเรา เดินเที่ยวจนทั่ว ผมขอให้แกเดินกลับไป ที่ฝังพระศพของ พระองค์ท่าน อีกครั้ง และให้แกช่วยอธิบาย ให้ฟังอีกครั้ง แกอธิบายเพิ่มเติมว่า คิดว่าพระ ที่มาจากเมืองไทย คงจะ มาขุดเอากระดูก ของเธอไป เพราะตรง ที่ฝังศพนั้นเป็น เจดีย์เก่าเล็กๆ ก่อน ที่จะขุดยังมีร่องรอย ของเจดีย์แต่เมื่อมี การขุดเอาของไป ก็ไม่มีเหลือให้เห็นแล้ว มีแต่รอยดิน ที่ถูกขุดขึ้นมาแต่แก่ก็ยังพบเห็น วิญญาณของเธอ อยู่บ่อย ๆ แกเล่าต่อไปว่า เธอชอบมาเที่ยวอยู่ ในสวนดอกไม้นั้น เมื่อใด ที่ดอกกุหลาบบาน ก็จะเห็นเธออยู่บ่อยๆ

▬ ผมถามลุงว่า แล้วลุงไม่กลัวเธอหรือ ? ลุงตอบว่า ไม่กลัวหรอก มีอยู่ครั้งหนึ่ง แกลืมมาถางหญ้าในสวนนี้ เธอก็ไปเข้าฝันไป ตามที่บ้านให้มาทำสวน บอกให้มารดน้ำต้นไม้ (ปัจจุบัน สวนนี้อยู่หลัง พระราชวังองค์เล็ก ข้างพิพิธภัณฑ์ ) ผมถามลุงต่อไปว่าแล้ว เจออะไรอีกบ้าง หรือป่าว ? ลุงหันมามอง หน้าผมแล้ว ก็ยิ้มให้ แต่ไม่ยอมตอบ แต่ผมมีความรู้สึก ได้ถึงอะไรบางอย่าง ในพระราชวังนี้ พวกเรา คุยอยู่ กับแกอีกครู่ใหญ่ ๆ แล้วก็ขอตัวกลับ ก่อนกลับ ผมให้เงินแกไว้ ห้าพันจ๊าด ถ้าทางแกดีใจมาก จนบอกไม่ถูก เมื่อขึ้นมา บนรถสาว ๆ ทั้งสองก็บอกผมว่า เงินเดือนแกนั้น พันห้าร้อยจ๊าตเอง ผมก็เลยนึกขึ้น มาได้ แต่ก็คิดใน ใจว่าเงินเดือน แกคิดเป็นเงินไทย ก็แค่สองร้อยกว่าบาทเอง(ในตอนนั้น) แกจะทำอะไรได้ มากนักหรือ เมื่อผมให้ไป ห้าพันแก ก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา

▬ เธอทั้งสอง บอกผมว่า อยากจะพาไปเที่ยวที่พระนอน องค์ใหญ่อีก และเธอก็อยาก จะไปไหว้พระด้วย ผมก็ตอบรับ เธอทันที บอกว่าอยากไป ก็ไปอีกไม่เป็นไร รถวิ่งมาได้เกือบครึ่งชั่วโมง ก็ถึงแล้ว เมื่อเราลงจากรถ เด็กๆ ที่ผมให้สตางค์ ไปเมื่อวานนี้ จำผมได้ รีบวิ่งมาหาผมกันใหญ่เลย เล่นเอาสองสาวและคน ขับรถงงไปเลย ผมเลยบอกเรื่อง เมื่อวานนี้ให้เขาฟัง เธอหันไปพูดอะไร กับพวกเด็ก ๆ เหล่านั้น ผมก็ไม่ได้ถาม แต่เห็นเด็กๆ เหล่านั้นเดินกลับไป พวกเรา ก็เข้าไปไหว้พระ กันอีกครั้ง เราเดินวนรอบเจดีย์ ไปคุยกันไปเธอเล่า ให้ผมฟังว่า ที่บริเวณนี้ ก็คือเมืองหงสาวดีเก่า ถัดจากพระนอน ไปก็มีเจดีย์ที่คาดกันว่า เป็นกษัตริย์ของมอญเป็นผู้ สร้างขึ้น ก่อนพระเจ้าบุเรงนอง และก็ยังมีร่องรอย ของพระราชวังเก่า ของมอญอยู่ แต่คนพม่า ส่วนใหญ่จะไม่รู้เรื่อง พวกนี้ กันเท่าไร มีแต่ชาวบ้าน ที่นี้เท่านั้นที่พวกเขารู้ตัวเอง ว่าบรรพบุรุษเป็นใครมาจากไหน แต่ก็ไม่มีใครพูด ออกมา เพราะกลัวทางรัฐบาล จะหาว่าเอาใจออกห่าง แบบชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย ที่ต้องการแยกตัวเอง ออกจาก พม่า เธอพาผมเดิน ไปที่พระเจดีย์อีก เจดีย์องค์นี้ แปลกดี องค์ก็ใหญ่มากแต่เล็กกว่าเจดีย์ ของพระเจ้าบุเรงนองนิด เดียวแต่ ทาสีขาวทั้งองค์ และให้คนขึ้นไป บนเจดีย์ได้ผมถามเธอว่า ทราบว่าเจดีย์ เกือบจะทุกองค์ ในพม่าไม่ยอม ให้คนขึ้นไปข้างบน แต่ทำไมองค์นี้ จึงยอมให้ขึ้นไปได้ละ ? แถมยังทาสีขาว ไม่ยอมใช้สีทอง เหมือนองค์อื่น ๆ อีก ? เธอก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า เป็นเพราะอะไร

▬ ผมก็ได้แต่คิดอยู่ในใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ? หรืออาจ จะเกียวกับเชื้อชาติ ของผู้สร้างก็เป็นได้ พวกเราไหว้พระเสร็จแล้ว ก็เดินกลับมาที่รถ พวกเด็ก ๆยืนรอผมอยู่เต็ม ไปหมดเลย ในมือของพวกเด็ก ๆยังถือผลไม้และ ของบางอย่างอยู่เกือบทุกคนเลย เด็กๆ บางคนเห็นผมก็ร้องไห้ ขึ้นมาอีกเสียง ดังลั่นไปหมด เล่นเอาผมงงไปอีก อะไรกัน ผมนึกอยู่ในใจ พวกเขาวิ่งมาหาผม และส่งของกินให้ ผมเต็มไปหมด บางคนก็ส่งกล้วยให้ผม บางคนก็ส่ง อ้อยควั่นให้ผม บางคนก็ส่งน้ำให้ผม เล่นเอาผมไม่กล้ารับ ผมหันไป ถามสองสาวว่า เขาเอามาขายให้ผมหรือ ? เธอบอกว่า พวกเด็กๆเอามาให้คุณ ก็เมื่อวานนี้คุณให้ พวกเขาไป คนละทั้งห้าร้อยนี่ วันนี้เขาเลย เอาขนมมาให้คุณ ผมได้ฟังดังนั้นผม ก็ได้แต่ยิ้มให้กับเด็กๆ และกล่าว ขอบใจกับพวกเขา ที่มีน้ำใจให้ผม แต่ผมก็ไม้รู้จะรับของ ไปไว้ที่ไหน เอาไปกิน ก็คงกินไม่หมด แล้วผมก็ให้สอง สาวช่วยแปล และบอกกับเด็กๆ พวกนั้นไป แต่เด็กพวกนั้น ก็ไม่ยอมลดละ เอาของไป ใส่ไว้ในรถให้ผมอีก

▬ เล่น เอาผมงงไปอีก สองสาวหัวเราะ ชอบใจกันใหญ่ ผมไม่รู้จะทำอย่างไร ควักกระเป๋าสตางค์ ออกมาอีก กะจะให้ เด็กๆ อีก แต่พวกเขาก็ไม่มีใครยอม มาเอาสตางค์กับผมเลย แม้แต่คนเดียว ผมรู้สึกภูมิใจ ในตัวพวกเขา อยู่นิดๆ พวกชาวบ้านแถวนั้น ก็มายืนดูพวกเรา กันเต็มไปหมด ผมมองซ้ายขวาแล้วก็เห็นมีร้านขายเสื้อผ้า สำหรับนัก ท่องเที่ยวเพื่อ เป็นที่ระลึกอยู่ ผมชวนสองสาวไป ที่ร้านขายเสื้อผ้า ผมดูราคาแล้ว ตัวหนึ่งก็ไม่เกิน สองร้อยจ๊าต เอง ผมบอกกับ สองสาวว่าผมจะซื้อเสื้อ ให้พวกเด็กๆ คนละตัว ช่วยเรียกเด็กๆมา เลือกเสื้อด้วย สองสาวทำถ้าทาง ตกใจ แต่ผมรีบบอกว่า ผมก็รู้สึกเอาเปรียบ พวกเด็กๆ นะ เขาเอาของกินไปไว้ในรถเต็มไปหมด หากอยู่เมือง ไทย ของพวกนั้นก็หลายสตางค์อยู่ ผมซื้อเสื้อ ให้เขาคนละตัวก็ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าคุ้มแล้ว แต่พวกเธอทำถ้า จะไม่ยอม เรียกให้ ผมก็กวักมือ เรียกเองเลย พวกเด็ก ๆก็วิ่งกันเข้ามา คนขาย พอจะพูดภาษาอังกฤษ ได้ผมก็บอก ความประสงค์ ของผมให้คนขายฟัง แล้วให้คนขาย ช่วยอธิบายให้พวกเด็ก ๆ ฟังอีกที เมื่อพวกเด็กๆ ได้ฟังที่คน ขายอธิบาย ก็พากันเลือกเสื้อผ้า กันใหญ่เลย ผมก็จ่าย ให้ไปอีกสี่พันกว่าจ๊าด และขอแลกเงิน กับคนขาย เอาแบงค์ สองร้อย จ๊าดอีกยี่สิบใบ แต่คนขายมีแต่ แบงค์ร้อยจ๊าด ผมก็เลยขอแลกแบงค์ร้อยจ๊าด และแจกพวกเด็กๆไปอีก คนละหนึ่ง ร้อยจ๊าด พวกเด็กๆ พากันร้องไห้ วิ่งเข้ามากอดผม กันอีก เจ้าหน้าที่ๆ ดูแลสถานที่ ต้องเข้ามาไล่อีก และก็บอก เตือนผมว่า อย่าไปให้เงินพวกเด็ก ๆ มากนัก ครั้งต่อไปหากผมมาอีก เขาอาจจะดูแลไม่ได้ ผมก็ได้แต่ กล่าวขอบคุณเขา และรีบขึ้นรถกลับ โรงแรมที่พัก เมื่อรถขับออกมาพวกเด็กๆ ก็ยังวิ่งตามมาส่งกัน ที่ปากทาง อีกผมหันไป มองเห็นพวกเขายืนมองรถ เราอยู่และโบกมือ ให้พวกเราอยู่คอยจน รถเราลับสายตาไป

▬ เรากลับมาถึง โรงแรมที่พัก เจ้าของโรงแรม ช่างใจดีเตรียม อาหารเย็นไว้คอยพวกเรา ทั้งสามคน ให้เรียบร้อย แล้ว พวกเรานั่งทานอาหาร เย็นด้วยกันในเย็นวันนั้น และคุยกันไปถึงเรื่องราวต่าง ๆนา ๆ พวกเขาอยากมาเที่ยว เมืองไทย แต่ไม่สามารถทำหนังสือ เดินทางได้ พวกเขาบอกว่า ติดปัญหาหน่วยงาน ของรัฐสารพัดอย่าง เป็นผู้หญิง ด้วยยิ่งแล้วใหญ่ แทบจะไม่มีสิทธิ์ ทำหนังสือเดินทางเลย ผมก็ได้แต้รับฟังไว้ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ผมเล่าแค่นี้ก่อนยาวมากแล้ว ท่านทั้งสองบอก ความลับมาเถิด? ผมถาม ฉันก็อยากฟัง เรื่องราวของแม่ยอดหญิง สยามอีกเธอ เล่าแค่นี้เองหรือ?

▬ แค่นี้ก่อน เอาไว้ต่อตอนหน้า นะครับ ถ้าอย่างนั้น เราก็จะบอกความลับ ให้อย่างเดียวก่อน ท่านบอกมาเถิด เธอฟังดีๆนะ มีเทพธิดาน้อยจากสรวง สวรรค์ องค์หนึ่งมีนามว่า สร้อยสุวรีย์ เป็นลูกสาว ของเทพไพฑูรย์ กับทรรฤทัยเทวี ถูกพรมจรเทพ ขโมยดวง ฤทัย ไปจุติเกิดในโลกมนุษย์ โดยซ้อนไว้ในรัตน์มณี มนุษย์ทั่วไป มองเห็นเป็นเพียงหินสีฟัน ธรรมดาหารู้ไหม ว่านั้นคือลูกสาวเจ้า ไพฑูรย์ ผู้มอบความวิบูลย์ ให้ชุ่มชื่นหัวใจ รัตน์มณี สี เหมือนโภคา อาชาสวรรค์ อายุของ เธอแรกรุ่น ดรุณีมองเห็นตำหนิ เส้นเลือดในดวงใจ รัตน์มณี ถูกผู้คนพาไปในที่ต่างๆ มากมาย ไม่มีผู้ใดร่วงรู้ว่า รัตน์มณีก้อนนั้น คือดวงใจ ของเจ้าสร้อยสุวรีย์ เทพธิดาน้อย แสนสวยจากสรวงสวรรค์ ผู้คนมากมายมองไป มองมา มิมีผู้ใดมีวาสนาพอ ที่จะได้ครอบครองดวงใจ ของเทพธิดาน้อยได้เลย หากผู้ใดได้อ่าน บทความนี้ของ เธอจนจบมา ถึงตรงนี้เขาอาจจะมีวาสนาพอ

▬ หากแม้นผู้ใดได้รัตน์มณีก้อนนี้ไปครองจงเจียระไน ให้เหมือนเจ้า ไพฑูรย์ ขนาดสองเท่าเกล้าดรรชนี (ขนาดสองหัวแม่มือรวมกัน) เถิดตำหนิเส้นเลือดในดวงใจนั้นจะปรากฏ เป็นเจ็ดสีรุ้งคงคา กลิ้งกรอกไปมา เธอจะมอง และยิ้มน้อยๆ ให้ฉ่ำหัวใจ แก่ผู้เป็นเจ้าของ ยามต้องดวงเนตรครั้ง ใดก็ชื่นใจครั้งนั้น เธอชอบ จะอยู่กับผู้เป็นเจ้าของ คนเดียวหากเอาสุวรรณ มาอุ้มโอบเธอแล้ว ประดับเธอไว้ที่ พระศอ เธอจะช่วยเชิดชู ผู้เป็นเจ้าของให้งามสง่า ในท้ามกลางฝูงหงส์ มิวายแม้นยาม จะนอนต้องนำ มาแนบชิด แก้ม ให้หลับฝันถึงเธอ ยิ่งเป็นหญิง ยิ่งต้องพึ่งเธอ ถึงเป็นชาย ก็ไม่อาจจะข่มตาลงได้ มูลค่า หรือราคาเทียบมิได้ เท่าจิตใจ ของผู้เป็นเจ้าของ ฯ เราบอก เธอเพียงเท่านี้ จงปล่อยให็เป็นไปตามวาสนาเถิดฯ กราบขอบพระคุณ ท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองมีชื่อว่ากะไรหรือ? ชื่อเสียงเป็นเพียงนาม ความดีต่างหากที่เธอ ควรทำ กราบหมอนแล้ว หลับฝันดีเถิด ตื่นขึ้นมา เธอต้องเดินทางไกล จงบอกท่านไปว่า เธอต้องหยุดหนึ่งอาทิตย์ แล้วจึงจะกลับ มาเล่าเรื่องราวต่อฯ ฮิ ฮิ ไปซิ ไปเอามา หากช้าแล้ว คนอื่นจะเอาไปนะ เจียระไนให้โค้งนูนเหมือนหลังเต่า ยามต้องแสงสุรีย์จะ พบดวงตาไพฑูรย์ และสีรุ้งคงคาดวงใจ ของเทพธิดาน้อยนามว่า สร้อยสุวรีย์ (โภคา อาหาร) (อาชาสวรรค์ ม้า UNICORN) (อาหารของม้าสวรรค์ คือแอบเปิ้ล) (มณีสีเขียวแอบเปิ้ล) จากคนหาพลอย 25/8/04

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1677