อาถรรพ์ของพลอย ภาค 25

เล่าเรื่องโดย ... คนหาพลอย

▬ สวัสดีครับทุก ๆ ท่าน ตอนนี้ผมก็มาอยู่ เมือง บาบาซาส์ คองโก แล้วครับ ที่ office ที่นี่ ยังไม่มี Internet ใช้เลยครับ มีแต่ e-mail แต่เป็น ของส่วนรวม พนักงานแต่ละคน จะใช้ได้ก็ต้องขออนุญาตก่อน ว่าจะส่งอะไร ไปที่ไหน และโทรศัพท์ต่างประเทศ ด้วย ส่วนผมได้รับอนุญาต ให้ใช้ ส่งไปที่บ้านได้ และโทรศัพท์กลับบ้าน ได้ เดือนละ สิบนาที หากเกินกว่านั้นต้องจ่ายเองครับ นาที ละเกือบ 4 USD แนะ ครับ

▬ งานของผมก็ต้องออกไป ตามเมืองต่าง ๆ ครับ ไปสำรวจทำราคา ยังไม่ได้งาน จริง ๆ หรอกครับ มีบริษัทคู่แข่งที่มาร่วมประมูลด้วย หลายรายครับ แต่มีแนวโน้ม ว่าทางบริษัทของเราจะได้ครับ เพราะว่าทางรัฐบาลญี่ปุ่นให้เงินกู้แบบไม่มีดอกเบี้ย กับทางรัฐบาลคองโกครับ ผ่านทางบริษัทของเรา เอาไว้ผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟังนะครับ ว่าบริษัทใหญ่ ๆ นั้นเขาได้งานต่างประเทศกันอย่างไร หากผมเล่าตอนนี้อาจจะต้องอธิบายยาวมาก ที่นี่ผมต้องเข้าป่าไปสำรวจที่ตั้ง สถานีด้วย ยุงที่นี่เยอะมาก เลยครับ ผมโดนยุงกัดตัวแดงไปหมด แต่ก็มียากินป้องกันไข้หวัดและมาเลเลียครับ

▬ ขนาดมียากินแล้ว ต้องส่งวิศกรของญี่ปุ่นกลับประเทศไปแล้ว สองคนครับ เพราะทนไม่ไหว คนนึง ทนยุงกัดไม่ไหว อีกคนนึง คิดถึงแฟน พวกเขายังอยู่ในช่างวัยรุ่นอยู่เลย พึ่งจะจบใหม่ ๆ ยังไม่มี ประสบการณ์ แต่ก็แปลกไม่ทนเหมือน รุ่นก่อนๆ นี้ หรือรุ่นเดียวกับผม พวกนั้นจะชอบเข้าป่า ลุยแหลก ไม่กลัวอะไร

▬ ผมจะส่ง email ไปที่บ้านผม แล้วเวลาน้องผม เข้ากรุงเทพ ฯ ไปที่บ้านผม แล้วเขา จะเข้าไป โพส์ ส่งให้นะครับ หากผมจะส่งให้ทาง email ของ website โดยตรง จะเป็นการไม่ดีกับผม เขาจะถาม ผมว่า ส่งอะไร หรือข้อมูลอะไร เพราะพวกเรากำลัง สำรวจข้อมูลทำราคา เพื่อประมูลงานกันอยู่ หากข้อมูล รั่วไหล อาจจะไม่ได้รับการไว้วางใจ ได้ครับ เดี๋ยวเขาไม่จ้างผมทำงานให้อีกครับ หวังว่าท่าน คงเข้าใจ ผมนะครับ ส่วน email ของผม ทางบริษัทเขาก็รู้อยู่แล้วเวลาเขาติดต่อผม เขาก็ใช้อยู่ เลยไม่ต้องไป อธิบาย อะไรมากครับ

▬ น้องผมเวลาผมไม่โทรกลับบ้านเขาอยากทราบว่าผมอยู่ที่ไหน เขาก็ไป ที่บ้านผม หรือไปตามร้านที่มี Internet ใช้ครับ ไปเปิด mail ของผมอ่านดู เขาก็จะรู้ครับ ว่าผมทำอะไรอยู่ที่ไหน เพราะบางประเทศ ค่าโทรศัพท์แพงมาก ผมก็ใช้วิธีนี้แหละครับ ที่บ้านแม่ผมยังไม่มี net ใช้ครับ ส่วน Internet ที่โรงแรม ที่ผม พักนี้ ก็ยัง ไม่มี Font ภาษาไทย พอเปิด website ที่เป็นภาษาไทย ก็อ่านไม่ได้ ผมบอกเจ้าหน้าที่ ผู้ดูแล ว่าผมจะขอเอา Font ภาษาไทยลง เขาไม่ยอมครับ และไม่ยอมให้ส่งข้อความ ใด ๆ ที่ไม่ได้รับ อนุญาตก่อน ออกไปเด็ดขาด ผมก็เลย ต้องขออภัยด้วยครับ

▬ ผมจะใช้เวลาว่างตอนกลางคืน เขียนเล่า เรื่องราวต่าง ๆ ไว้ใน note book ของผม แล้ววันใหนที่ ผมกลับเข้าไปที่ Office ผมจะส่งไปให้นะครับ บางช่วงบางตอน อาจจะยาวหรือ สั้น ก็แล้วแต่ โอกาสที่ผม จะเข้าไปที่ office นะครับ อย่าว่ากันนะครับ เพราะตัวผมเองก็ไม่สามารถเปิด email ของตัวเองอ่านได้ครับ ผมจะย้อนกลับไปเล่าตอนที่ ผมเดินทางออกจากบ้าน มาที่นี่ก่อนนะครับ แล้วค่อยกลับไป เล่าเรื่องที่ไปพม่าให้ ฟัง

▬ ก่อนที่ผมจะมาที่นี้ รู้สึกว่าจะเป็นตอนเย็นของวันที่ 12 นะครับ ทางบริษัทได้นัด ทานอาหารเย็น กับผม ณ ศูนย์การค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ( ผมขอปิดชื่อไว้นะครับ ) เรานัดทาน สุกี้ ชื่อดังของเมืองไทย ด้วยกัน และผมได้พบเรื่อง บางอย่างที่อยากเล่า ให้ท่านฟัง ผมต้องไปเข้าแถวต่อคิว รับบัตรคิว กับคนญี่ปุ่น อีกสามคน เพื่อรอ ทานสุกี้ ประมาณสิบนาที่ ก็ได้โต๊ะนั่ง พนักงานของทางร้าน นำเมนูอาหาร มาให้ ญี่ปุ่นขอให้ผมช่วยสั่ง อาหารให้ ผมเปิดเมนูอาหารออกดู ผมตกใจมาก อะไรมันจะขนาดนั้น กินไปขึ้นสวรรค์ ไปหรืออย่างไรไม่ทราบ ได้ ราคามันทำมัยแพงอย่างนั้น ผมนึกในใจ ขนาดผัก สองสามอย่างรวมกันไม่ถึงกำมือ ราคาเกือบยี่สิบบาท ไข่ไก่ สองฟองเกือบสามสิบบาท เนื้อหมูบาง ๆ สองแผ่น สี่สิบเจ็ดบาท นอกนั้นก็ราคาไม่ต่ำกว่า สี่สิบบาท ในแต่ละรายการ ผมนั่งดูเมนูไปก็อยากจะ ลุกจากที่นั่ง ไปกินที่อื่น ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยแต่ก็เกรงใจพวกญี่ปุ่น มาแล้วก็เลยต้องสั่งอาหาร

▬ ผมทานกันสี่คนหมดไป สองพันกว่าบาท แต่ทางบริษัทก็เป็นผู้จ่ายให้ ข้าง ๆ โต๊ะที่ผมนั่ง มี ครอบครัวหนึ่งมานั่ง มีพ่อ แม่ และ ลูกชาย หนึ่งคนกับ ผู้หญิง หนึ่งคน อายุอยู่ประมาณ 12 หรือ 13 ปี เห็นจะได้ พ่อแม่ ก็อยู่ในวัย สามสิบ ถึงสี่สิบ เห็นจะได้ เจ้าลูก ทั้งสองพอนั่ง ปุบก็ หยิบเมนูมาสั่งปั๊บเลย มันจะกินเกือบ ทุกอย่างเลย ไอ้นั้น ก็เอา ไอ้นี้ก็เอา พ่อกับแม่ก็ คอยถามลูกว่า ไอ้นี่ก็อร่อยนะเอาไหม ? ไอ้นั้นก็อร่อยนะเอาไหม ? เวลากินก็ยังกับ ผีจับยัด กินเสร็จ ก็ต่อด้วย ไอศครีมอีกคนละถ้วย ตอนจ่ายเงิน ผมเห็น เขาจ่ายไปเกือบ สามพันบาท แล้วยังได้ยิน เจ้าลูกชายของเขา บอกพ่อว่า อยากกิน พิซซ่าร้านข้างๆ อีก แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เดินออกจากร้าน สุกี้ ไปแวะร้าน พิซ่า ผมไม่รู้ว่าเขา กินกันอย่างไร มองไป โต๊ะ ที่นั่งอยู่ ข้าง ๆ ก็มี ประพฤติกรรม การกิน เกือบเหมือน ๆ กัน หรือเกือบจะทุกโต๊ะเลย

▬ บ้าไปแล้ว หรือไร คนไทย ใครมาสอนให้ ตะกละตะกรามกันขนาดนี้ ? หากพ่อแม่สอน ลูกให้กินอย่างนี้ โดยไม่รู้คุณค่า ของเงินที่ได้มา นี่เท่ากับ กินไป บ่อนทำลายประเทศชาติไป ต่อไปจะมีอะไรให้กินอีก ผมได้แต่ภาวนาว่า ให้เขานาน ๆ มากินกันที่ อย่าได้มากิน ทุกวันเลย ท่านทั้งหลายอย่าไปทำแบบนี้นะครับ

▬ ร้านค้าพวกนี้จะได้ใจ เราต้องมองภาพรวมของประเทศ ของเราให้ออกครับ เงินตราต่างประเทศ ที่เราได้มานั้น มาอย่างไร ? ผมเองทำงานกับ บริษัทต่างชาติ ผมรู้ว่าประเทศเขารวย เพราะอะไร เขาคิดไม่เหมือนเราคิดครับ เขาคิดไปลงทุนต่างประเทศ แล้วนำกำไรกลับประเทศ ส่วนของเรา คนที่รวยนั้น จะชอบชื้อมาขายไป ไม่ยอมไปลงทุนต่างประเทศ แบบนี้อีกหน่อยประเทศ เราจะไม่มี อะไรให้กินนะครับ ถึงแม้เราส่งสินค้าออกได้บ้าง ก็เป็นสินค้าที่ ไม่ค่อยสำคัญ ไม่ใช่สินค้าหลัก ส่วนสินค้าหลักที่เป็นข้าว เดี๋ยวนี้ก็มีคู่แข่ง มากขึ้นแล้ว

▬ หากคนไทยไม่สอน ให้คนรุ่นต่อไปรู้จัก กินรู้จักใช้ รู้จักเก็บ ประเทศชาติ จะเดือดร้อนนะครับ ชื้อมาขายไป ทำกำไรอยู่ แต่ในประเทศ เมื่อมีเงินมากแล้ว ไม่ยอมไปลงทุนต่างประเทศ นี่อันตราย มากนะครับ ผมอยู่กับพวกต่างชาติ ผมรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเมืองไทย ประเทศที่เขารวยแล้ว เขาเอาการเมืองนำการค้า ครับ ทั้งให้กู้ ทั้งให้ฟรี ๆ ทำให้ประเทศเล็ก ประเทศน้อย ต้องเกรงใจ แล้วค่อยค้าขายครับ เหมือน บริษัทที่ผมทำงาน อยู่ด้วยนี่แหละครับ พรรคการเมืองรัฐบาล ญี่ปุ่น หนุนหลังอยู่ รัฐบาลญี่ปุ่นทั้งให้ฟรี ๆ ทั้งให้กู้ แล้วค่อยค้าขาย ครับ จะมีกำไร หรือไม่มี กำไรสิบปีเขา ก็รอได้ครับ

▬ แต่ประเทศของเรา พึ่งจะเริ่มต้นเป็น ผู้ให้กู้บ้างแล้ว เราอย่ามาบ่อน ทำลายประเทศด้วย พฤติกรรม การกินนะครับ มันจะทำให้เราเคยตัว มีเท่าไรก็ไม่พอกิน นั่งรอนอนรอว่าเมื่อไรเขาจะ ขึ้นเงินเดือนให้ หรือสิ้นปีจะได้โบนัสเท่าไร? ท่านรู้หรือไม่ครับว่าประเทศไทย ของเรานั้น ไม่ติดอันดับ 500 บริษัทแรก ชั้นนำของโลก ที่มีการลงทุน ในต่างประเทศครับ หรือปีนี้อาจจะ ติดอันดับแค่ ป. ต. ท. บริษัทเดียว แค่นั้นเอ งแต่ก็อยู่ประมาณ อัน ดับที่สี่ร้อยกว่า ๆ ครับ เกือบท้าย ๆ

▬ นักการเมืองของ บ้านเรานั้น พวกต่างชาติเขามองว่า เป็นพวกเด็ก ๆ ครับถึงอายุจะมาก ก็จริง เจรจาต่อรองสู่เขาไม่ได้หรอกครับ ไม่มีเงินคิดอะไร ก็ไม่ค่อยสะดวกครับ พวกต่างชาติเขามีเงิน บางประเทศเขา มีทหารคอยหนุนอีก เขาจะคิดอะไรก็ปอดโปร่งไปหมด เอาเงินยัดปาก นักการเมือง ประเทศนั้นที ประเทศโน้นที เดี๋ยวก็ค้าขายได้แล้วครับ ที่คองโกนี่ก็เหมือนกันครับ รัฐบาล ญี่ปุ่นส่งคน มาปูทางไว้ ให้เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้รัฐบาลจีน ก็มาเป็นคู่แข่งแล้วมาให้ เงินกู้กับรัฐบาลคองโก และให้ความช่วยเหลือ หลาย ๆ ด้าน จนรัฐบาลคองโก เกรงใจแล้ว ยิ่งรัฐบาลคองโก ต้องการซื้อ อาวุธอยู่ด้วย จีนยิ่งชอบใจใหญ่ อาจให้อาวุธฟรี ๆ แต่ ขอค้าขาย เป็นอย่างนี้แล้ว

▬ ประเทศไทยจะเอาอะไรไปสู้เขาครับ เอาอาวุธหนังสติก ยิงนกมาขาย ให้เขาหรือครับ หรือเอา บั้งไฟ ติดหัวลบ นิวเคลียร์ มาขายให้เขาละครับ เงินก็ยังไม่มีให้เขายืมเลย แล้วอยากจะมาขายของ ใครเขาอยากจะชื้อละครับ ท่านทั้งหลายคิดกันดี ๆนะครับ กินมาก เงินก็หมด โรคอ้วนก็ถามหา ต้องพึ่งหมออีก เสียเงินไม่รู้จบ

▬ ไหน ๆ ก็เล่าเรื่องกินอาหารแล้ว ผมจะเล่าเรื่อง กินอาหารที่พม่าให้ฟังอีกเรื่องนะครับ เรื่องข้างบน เป็นเรื่องกิน ไปทำลายชาติไป ส่วนเรื่องนี้ ผมคิดว่าเป็น เรื่องขายของกิน ไปก็ทำลายชาติ ไปครับ ฟังนะครับ ตอนผมอยู่ที่พม่า วันแรกที่ไปถึงเพื่อนชาวพม่าของผมก็พาผมไปทานอาหารเย็นที่ ร้าน สบาย สบาย (อันนี้บอกชื่อร้านได้ครับ)อยู่ติดกับสถานทูตสิงค์โปร์ ร้านนี้เมื่อก่อนเป็น ของคนไทย แต่ตอนนี้ เจ้าของไม่ใช่คนไทยแล้ว ได้ยินว่า เป็นคนไต้หวัน กับสิงค์โปร ร่วมทุนกัน แล้วใช้ พ่อครัวคนไทย ทำอาหาร และทำตามสูตร ของไทยทุกอย่าง อาหารก็จะจานใหญ่ๆราคาสมกับอาหารดูแล้ว ก็ไม่แพงมาก ตอนนี้เขาขึ้นป้ายเป็น ร้านอาหารอันดับหนึ่งใน ประเทศพม่าแล้ว ครับ ภายในร้านก็จะตกแต่ง ให้ดูเหมือน อยู่ในเมืองไทย ผมมาทานกับคนพม่าอีกห้าคน หมดค่าอาหารไป 23000 จ๊าด คิดเป็นเงินไทย ก็ประมาณ พันกว่าบาทครับ อาหารก็ทำอร่อย ขนมหวานมีแถมให้ เป็นข้าวเหนียวถั่วดำ ก็ทำอร่อย ดี ผมยังภูมิใจว่า พ่อครัวยังรักษาชื่อเสียงของ คนไทยอยู่ ถึงแม้เจ้าของจะ เป็นคนต่างชาติ ครั้งนี้เพื่อน ชาวพม่าเป็นคนเลี้ยง ออกค่าอาหารให้ผม

▬ แต่พอวันรุ่งขึ้น ผมต้องเลี้ยงเขาคืน ตอนเย็นก่อนไปหาที่ ทานอาหารผมก็โทรไปหา เพื่อนผมคนไทย คนหนึ่งที่ทำงาน อยู่ในพม่า ถามเขาว่ามีร้านอาหาร คนไทยที่ ไหนบ้างที่ทำอาหารอร่อย เขาก็บอก ชื่อร้านให้ผม และให้ผมช่วย ไปสนับสนุนคนไทย ด้วยกัน ร้านนี้ชื่อ เหมือนต้นไม้ใหญ่ชนิดหนึ่งครับ ไม่อยากบอกชื่อร้านตรง ๆ ร้านนี้เจ้าของ และพนักงาน ก็เป็นคนไทย ร้านก็ตกแต่งดูดี แถมในร้านยังมี ใบรับรอง ผลิตภัณฑ์ Thailand Diversity & Refinement และขายของชำร่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเมืองไทยด้วย เจ้าของและพนักงาน ที่เป็นคนไทยก็มาต้อนรับดี ผมดูรายการอาหาร แล้วสั่งอาหาร ที่คิดว่าดีที่สุด และถามพนักงานว่า อะไรที่ทำอร่อยที่นี่ เขาก็แนะนำมาให้ผม อีกสามอย่าง ผมดูราคาแล้ว ก็ไม่แพงมากนัก ก็เลยสั่งมาเพิ่มอีก รวมอาหารทั้งหมด เจ็ดอย่าง สำหรับคน หกคน สักพักอาหาร ก็เริ่มมาที่ละอย่าง แต่ พอผมเห็นอาหารอย่างแรกที่มา ผมก็ อยากจะเลิกกินเลย หรือเปลี่ยนร้านเลยครับ อาหารแต่ละอย่างเหมือน ยกมาเส้นผี คนหก คน ตัก ไปสามที่ก็หมดจานแล้ว ผมสั่งเพิ่ม อีกสี่อย่าง เพราะไม่พอกิน พวกพม่า กินไป ก็ ยิ้มไป

▬ ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร ผมไม่รู้ว่าอาหาร อร่อยหรือไม่อร่อย แต่ก็จำใจกินเข้าไป แล้วรีบจ่ายเงินกลับ ผมได้แต่นึกในใจว่าเขาได้ ตรารับรอง มาตรฐานมาได้อย่างไร ? วันรุ่งขึ้นผมก็ หาร้านใหม่อีก กะว่าให้ดีกว่าเก่า ผมนึงถึงเมื่อก่อนนี้ ที่ผมเคยมาอยู่ที่พม่า มีอยู่ร้านหนึ่ง ชื่อเหมือน ถนน เส้นหนึ่ง ในเขตบางรัก แหละครับ เคยเป็นร้านอาหาร อันดับหนึ่ง ในพม่าเหมือนกัน ผมก็บอก เพื่อนชาวพม่า ของผม ให้พาไปที่ร้านนี้ พอไปถึง ร้านก็ยังอยู่ที่เดิม การตกแต่งภายในร้าน ก็ยังดูดีอยู่ ผมดูรายการอาหาร ก็ให้ตกใจอยู่นิด ๆ ผมถามพนังงาน ว่าพ่อครัวคนไทยหรือป่าว? ได้รับคำตอบว่า เมื่อก่อนนี้ใช้พ่อครัว คนไทย แต่เดี๋ยวนี้ใช้ พ่อครัวคนพม่า แต่เจ้าของ ยังเป็นคนไทยอยู่ ผมสั่งอาหารมาห้าอย่าง พนักงาน ยกอาหาร มาให้เกือบจะพร้อม ๆ กันทั้งห้า อย่าง แต่ละจานก็ไม่เล็ก ไม่ใหญ่เกินไป แต่อาหาร แต่ละอย่าง ไม่มีรสชาติ ของความเป็นอาหารไทย หลงเหลืออยู่เลยครับ ท่าน กินไปก็ขอ น้ำปลา ขอเกลือ ขอพริกไป ด้วยครับ เพื่อนชาวพม่า หัวเราะผมใหญ่ หลังจากนั้นมา ผมก็บอกเพื่อน ๆ ว่าจะไปกินที่ไหนก็พาไปเถิด

▬ ตอนขากลับเมืองไทย ผมเจออีกครับ บนเครื่องบิน ๆ ออกจากย่างกุ้ง พอแอร์โฮสเตส นำอาหารมา เสิร์ฟ ก็มีชาว พม่าคนหนึ่ง ท้าทางก็เป็นคนรวย แถมแต่งตัวภูมิฐาน ทานอาหารไปก็ สั่งขี้มูกไป ขากเสลตไป ผู้โดยสารหลายคน ทานอาหารกันไม่ลง รวมทั้งผมด้วย แถมพอทานอาหารเสร็จ ก็ร้องขอ กรรไกรตัดเล็บ กับแอร์โฮสเตสอีก แอร์โฮสเตส ก็ใจดีเอามาให้ พอตัดเล็บมือเสร็จ ก็ตัดเล็บเท้าต่อ เสี้ยงดังแป๊ะป๊ะ ๆ ผมมองหน้า แอร์โฮสเตสสาวๆ พวกเธอก็หันมามองหน้าผม แล้วก็ส่ายหัวไปมาเจ้าพม่า คนนั้นก็นั้งก้มหน้าก้มตาตัดเล็บเท้า ทำเป็นไม่รู้เรื่องเฉยเลย พอถึงดอนเมือง

▬ ก่อนผมลงจากเครื่อง ผมหันไปบอกกับพวกแอร์โฮสเตสสาว ๆ ว่า ต่อไปใครขอกรรไกรตัดเล็บ ก็บอกว่าไม่มี มีแต่หัวขวาน กับมีดโต้จะดีกว่านะ มีผู้โดยสารหลายคน หัวเราะกันใหญ่ ผมไม่อยากวิจารณ์ ท่านทั้งหลาย ลองคิดดูนะครับ

▬ ผมมีอีกสองเรื่อง เกือบลืมเล่าให้ฟัง เอาเรื่องรูปของเพชร ก่อนนะครับ ท่านที่ได้ดูรูปแล้ว เป็นอย่างไร บ้างครับ ? ผมซ่อนเคล็ดลับ บางอย่างไว้ ให้ ถ้าผมไม่บอกท่านคงไม่สามารถรู้ได้ คือ

1. เป็น เทคนิคในการถ่ายภาพ กับ กล้อง ดิจิตอล
2. เป็นเทคนิคในการ ถ่ายภาพ เพชรพลอย และทำพิมพ์เขียว หมายถึง เราสามารถจะทราบได้ว่า เพชรพลอย ของเราแต่ละเม็ดนั้นมีตำหนิ ตรงไหนบ้าง ( จริง ๆ แล้วทำได้อีกหลายอย่าง แต่บอกท่าน แค่ สอง ข้อก็พอเพราะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับท่าน )

▬ ผมจะอธิบายให้ ฟังท่านอ่านแล้ว ทำความเข้าใจดี ๆ นะครับ ( น้องน้ำส้มเป็นวิศกร อาจจะเข้าใจได้ )

ข้อ 1. ภาพใหญ่ที่ผมส่งไป ให้ท่าน ไปเปิดใน โปรแกรม ACDSee ดูนะครับ แล้วซูมให้อยู่ในระดับ สายตานะครับ หมายถึงให้เห็นภาพที่ ชัด ๆ เมื่อท่านเห็น ภาพ ชัด ๆ แล้ว ให้ท่าน คลิ๊ก เม้าส์ ตีกรอบ รูปให้ครอบคลุม เพชรทั้งสาม เม็ด ท่านจะได้เป็นเส้นปะ ที่ตีกรอบไว้ ต่อไปให้ท่านคลิ๊ก เม้าส์ Copy รูปในกรอบเส้นปะ แล้วนำไป เปิด ใน โปรแกรม word จัดรูปในโปรแกรม word ให้เหมือน กับ ท่านวางรูป ไว้ในตรงกลางของ กระดาษ ขนาด A4 คือให้มี ที่ ว่างเหลือด้านข้าง ทั้งสี่ด้านของ กระดาษ เมื่อท่านได้ภาพที่อยู่ ตรงกลางแล้ว ให้ท่านเลื่อน เม้าส์ ไปด้าน มุมบนซ้ายมือ ของรูป ให้ เคอเซ่อ ที่เป็น ลูกศร ของเม้าส์ ชี้เข้าหารูป ( ลูกศรต้องอยู่นอกรูปนะครับ แต่อยู่ มุมบนด้านซ้าย ของรูป ) เมื่อท่าน ได้ ลูกศร ที่ชี้เข้าหารูปแล้ว ให้ท่าน คลิ๊ก เม้าส์ อีก หนึ่งครั้ง ท่านจะเห็น รูปของ เพชร ทั้งสี่ เม็ด เป็นเหมือนฟีล์ม เอ็กซเรย์ แล้วท่านจะเห็นตำหนิ ของเพชร แต่ละเม็ดได้ว่า มีตำหนิตรงไหนบ้าง เป็นจุดดำ ๆ หรือเป็น สีแดง หรือสีน้ำตาล หรือเหมือน ภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศ ถ่ายผ่าน ดาวเทียม ท่านจะเห็น เพชร เม็ดที่ผม เจียระไนย แล้วมีตำหนิชัดเจน ส่วนอีกสองเม็ดที่ผมยังไม่ได้เจียระไนย จะมีตำหนิน้อยมาก ( ผมอธิบายหมดไม่ได้ครับ) เทคนิคนี้ สามารถบอกท่านได้ว่า เพชรพลอยแต่ละเม็ดมีตำหนิอยู่ตรงไหนบ้าง และตำหนิที่เกิดเป็นสีนั้น ในแต่ละสี ก็ยังสามารถบอกเราได้อีกว่า สีนั้นเกิดจาก ธาตุอะไร มีแร่ธาตุอะไร ปนเปื้อนอยู่ในเพชรพลอยนั้น ๆ และหากเราตั้งมุม กล้องดี ๆ และ ใช้แสงไฟ ที่ เป็น แสงที่ไกล้ เคียงกับแสงของดวงอาทิตย์ด้วยแล้ว ท่านก็จะสามารถ ทราบค่า Reflex ของแสงได้ และยังสามารถ บอกท่านได้อีก ว่า ผลึกนี้เป็นผลึกของแร่อะไร เป็นเพชร หรือ เป็นพลอย และหากเราเจียไนย ไม่ให้มีตำหนิ เลย จะเหลือ น้ำหนักสักกี่ กะรัต ?

▬ ส่วนเพชรเม็ดที่ผมเจียรไนยแล้ว หากผมจะเจียรไนยอีกไม่ให้มีตำหนิเลย อาจจะเหลือน้ำหนักแค่ 200 กะรัตครับ เพราะ ตำหนิ ไปอยู่ ตรง ก้นของเพชรพอดี และอยู่เกือบตรงกลาง หากท่านดูในภาพ จะเห็นจุดสีดำ และ สีส้มครับ ส่วนเม็ดใหญ่สุด ตำหนิจะอยู่ ข้าง ๆ ครับ หากเจียระไนยแล้ว อาจจะได้ เนื้อเพชรที่ บริสุทธิ์ จริง ๆ แค่ 2,000 กว่ากะรัตครับ ส่วน อีกเม็ดหนึ่ง อาจจะเหลือ สัก 400 กะรัตครับ เทคนิคนี้ หากท่านมีเพชรพลอยที่เป็น เม็ด ๆ อยู่ ยังไม่ได้นำไปเข้าตัวเรือน ก่อนท่านจะนำไป เข้าตัวเรือน ทำแหวน หรือจี้สร้อย ท่านก็สามารถ ถ่ายรูป ทำพิมพ์เขียวเก็บไว้ก่อนก็ได้ครับ เมื่อท่านส่ง เพชรพลอยของท่าน ไปให้ช่างเข้าตัวเรือนแล้ว ก็มาถ่ายรูปดูอีกทีว่า ตำหนิ ยังเหมือนเดิม หรือไม่ หากตำหนิ ไม่เหมือน เดิม ท่านก็ต้องหาสาเหตุเอาเองก็แล้วกันว่าเพชรพลอยของท่านถูกเปลี่ยนไปหรือป่าว ? หากเป็นเพชร ถ้าถูกเปลี่ยนแล้วละก็ หมายถึง คุณค่า และราคาก็เปลี่ยนไปด้วยครับ ท่านก็ต้องไปไล่ บี่เอากับช่างทำ ตัวเรือนแหละครับ บอกแค้นี้นะครับ หากบอกมาก กว่านี้จะไม่ดีครับ

▬ ที่นี้ก็มาข้อที่สองแล้ว ครับสำคัญกับ ผู้หญิงมาก ๆๆๆ ( ผมลืมไป รูปที่อยู่ ใน file ของ word แล้ว ที่มีข้อเขียนด้วย ท่านจะไม่สามารถทำได้นะครับ เพราะรูป ไปชิดขอบด้านซ้ายมือ ทำให้ไม่มีที่ว่าง ให้ท่าน คลิ๊กเม้าส์ ได้ครับ )

ข้อ 2. กล้องดิจิตอล เกือบจะทุกรุ่น สามารถ ถ่ายภาพ สามมิติ แบบนี้ได้ ครับ แต่ต้องเอาภาพนั้นมา เปิดดู ใน โปรแกรม word แบบที่ผมแนะนำท่านนี่แหละครับ หากเรา ถ่ายภาพ สาว ๆ สวย ๆ แล้วเรา เอามาเปิด ดู ใน word ท่าน ก็จะเห็นภายใน ของสาว ๆ ได้ครับ ฮิ ฮิ อย่า ว่ากันนะ ไม่รัก กันจริงจะไม่บอกครับ ก่อนที่ท่าน จะโวยวายไป หากท่านมีกล้อง ดิจิตอล อยู่ ทดลองทำตามที่ผม บอกก่อนนะครับ แล้วก็ไปไล่บี้กัน เอาเองก็แล้วกันครับ

▬ คืนนี้ ผม เล่า แค่นี้ ก่อนนะครับ แล้วตอนหน้าผมจะเล่าเรื่องสำคัญให้ฟังอีก สามเรื่องครับ ตอนนี้ผม ยังทำงานอยู่ ไกล้ๆ กับ office ผมยังเข้ามาที่ office บ่อย ๆ ผมก็ส่งได้ครับ ต้นเดือนหน้า schedule ของผมต้องออกไปตามเมืองต่าง ๆ แล้วครับ อาทิตย์ หรือ สองอาทิตย์ ผมจึงจะได้ กลับเข้า มาทีหนึ่งครับ และผมก็ต้องทำงานหนักมาก เพราะญี่ปุ่นกลับไปสองคน เขายังหาคนมาแทน ไม่ได้เลยครับ ที่นี่มีเรื่อง ที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังอีกหลายเรื่องครับ สัก วันหรือสองวัน น้องผมคงส่งให้ ท่านได้ครับ

สวัสดีครับ คนหาพลอย 20/7/47

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1477