อาถรรพ์ของพลอย ภาค 10

เล่าเรื่องโดย ... คนหาพลอย

▬ สวัสดีครับ ต่อจากเมื่อวานนะครับ ผมทำงานอยู่ สถานี นี้ อีกหนึ่งอาทิตย์ งานจึงแล้วเสร็จ และย้ายไปอีกเมืองหนึ่ง ไปทำสถานี่ ที่ได้เจ้า กรวดเม็ดนั้นมา แต่มาครั้งนี้ ตัวอาคาร สถานีได้ สร้างเสร็จแล้ว เหลือแต่เสา ส่งสัญญาณ ที่เป็นหน้าที่ของพวกเรา แต่มาครั้งนี้ ไม่พบคนจนกลุ่มนั้นแล้ว เพราะทางหน่วยงานของรัฐบาลท้องถิ่น ได้มาจัดการให้พวกเขาลงไปอยู่ ชายเขาด้านล้าง เพื่อเอาพื้นที่บนเขา ทำสถานีส่งสัญญาณโทรศัพท์ และได้ทำรั้วลวดหนามล้อมไว้ เพื่อไม่ให้พวกเขา ขึ้นมาอยู่ กันอีก ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ผมมาพักที่โรงแรมเดิม ที่เคยมาพัก แต่คนละห้อง กับที่เคยมาพัก

▬ พวกพนักงานของโรงแรมจำผมได้ เข้ามาทักทายกันใหญ่ เจ้าญี่ปุ่นจอมเจ้าชู้ ผมไม่รู้ว่ามันแอบ มามีแฟนอยู่ที่นี่ ตั้งแต่ครั้งที่แล้ว มีพวกผู้หญิงมาล้อมหน้าล้อมหลัง มันหลายคนเลย บางวันไปทำงาน บนเขาก็ตามขึ้นไปด้วย พวกคนงานได้แต่มองกันตาปริบ ๆ แถม พวกคุณเธอยังพยายาม จะแนะนำเพื่อน มาให้ผมอีก ตอนเย็นพอกลับมาที่โรงแรม เวลากินข้าวเสร็จ ก็พยายาม ลากผมเข้าไปใน ดิสโก้เทคอีก

▬ แต่ผมจะเป็นคนแปลกอยู่อย่างหนึ่ง เวลากินเหล้าหรือเบียร์ มาก ๆ แล้วจะชอบหลับ หากไม่ใช่ อยู่บ้านหรืออยู่ใกล้ ๆ ที่นอนผมจะไม่กินเด็ดขาด ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าคนอินเดียนี่ ร้องเพลงก็เก่ง เต้นก็เก่ง เหมือนในหนังไม่มีผิด ผมกินเบียร์ได้แก้วสองแก้วผมก็ขอตัว เข้านอน ทำให้พวกคุณเธอ ทั้งหลาย ไม่เคยพอใจผม ผมได้แต่นึกในใจ ถ้าโดนผู้หญิงที่นี่จับทำสามี แหละยุ่งแน่ ๆ เลย ( ผมลืมเล่าให้ฟังไปว่า ผู้หญิงพวกนี้ ไม่ใช่พวก ผู้หญิงแบบนั้นนะ ส่วนใหญ่เป็นลูกคนรวย มีเงิน เวลาแต่งงานก็จะไปขอผู้ชาย ฝ่ายผู้ชายจะเป็นคนเรียก ร้องเงินทอง หรือ บ้านรถยนต์ ฝ่ายหญิงจะ ต้องจัดหามาให้ ) ผู้ชายที่นี่ หากมีการศึกษาดี มีงานทำดี จะเป็นที่หมายปอง ของผู้หญิงที่นี่ ผมกับคนญี่ปุ่นก็เป็นที่หมายปองของพวกคุณเธอ แต่ผมรู้ตัวดีว่าผมมาทำอะไร ผมจะหาเรื่อง หลบหลีกพวกเขาได้ทุกวัน

▬ ผมทำงานย่างเข้าวันทีเจ็ด แล้ว แต่งานยังไม่เสร็จ วันที่แปดผมต้องออก ไปตรวจงานอีกสถานีหนึ่ง ซึ่งห่างจากสถานนีนี้ ประมาณ สิบกว่ากิโล ผมออกจากโรงแรมแต่เช้า โดยแยกกันกับญี่ปุ่น และเช่ารถ เพิ่มอีกหนึ่งคันผมใช้คนขับและรถคันเดิม สถานีนี้อยู่ใกล้ชายแดนเนปาล และเทือกเขาหิมาลัย ผมมา ถึงสถานีประมาณสิบโมงเช้า ช่างตอนบ่ายก่อนเริ่มงาน หลังจากหยุดพักเที่ยง คนขับรถมาบอกผมว่า มีคนงานเจอถ้ำ อยู่เชิงเขานี้ และมีพระสงฆ์ มาอยู่ หลายรูป มีรูปหนึ่งเป็นคนไทย และถามผมว่า จะไปดูไหม ? ผมรีบตอบทันที่ว่าไป ผมนึกในใจว่าพระอะไรมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ( คนขับรถผม นับถือศาสนาอินดู ) ผมให้เขาเรียกคนงานที่พบ พาเราเดินลงเขามาดูที่ถ้ำที่ว่า นั้น คนงานพาเรา เดินลงเขามา พบถ้ำอยู่เชิงเขา อยู่ไม่ไกลจากทางขึ้นไปบนเขาตามทางรถยนต์ปกติเท่าไรนัก ปากถ้ำมีขนาดใหญ่มาก

▬ ผมเห็นมีพระปักกรด อยู่หลายกรด ผมเห็นมีพระ ถ้าทางเหมือนพระไทยมาก กำลังมองมา ที่ผมพอดี ผมรีบเดินเข้าไปยกมือไหว้ แล้วถามท่านว่า ใช้พระไทยหรือป่าวครับ ? ท่านตอบผมว่า ไม่ใช่ ผมถามว่าท่านพูดไทยได้ ท่านยิ้มให้ผม แล้วเดิน ไปที่กรดอีกกรด หนึ่ง เรียกพระที่อยู่ในกรดออกมา พระที่อยู่ในกรดนั้นพอเห็นผมก็ดีใจ รีบเดินมาหาผม แล้วชวนให้ผมนั่ง บริเวณปากถ้ำนี้ แลดูเตียนมาก เหมือนมีคนทำความสะอาดไว้ให้ พระท่านปักกรดอยู่กันเป็นกลุ่ม ผมนับได้ สิบกรดพอดี ผมถามท่านว่า เป็นพระไทยหรือป่าวครับ ? ท่านตอบว่าใช่ แล้วท่านก็เล่า ให้ผมฟัง คร่าว ๆ ว่า ท่านเดินธุดงค์ มาด้วยกันสิบรูป มีพระไทย 1 รูป คือท่าน และพระลาว 1 รูป องค์ที่ผม พบครั้งแรก ( ขณะนั้นพระ ทุกรูปก็มานั่งอยู่รวมกันทั้งหมด) และพระ เขมร พระพม่า พระ จีน พระอินเดีย พระเนปาล พระศรีลังกา พระทิเบต พระอังกฤษอีกหนึ่งรูป ตงลงร่วมเดินธุดงค์ มาด้วยกันเป็นเวลาสามปีมาแล้ว เพื่อจะเดินตามรอยพระพุทธบาทของพระพุทธเจ้าให้ทั่วดินแดนสุวรรณภูมิ โดยเดินทางออกจาก ประเทศไทยไป อินโดนีเซียก่อน แล้ว เข้าไทยอีกครั้งแล้วไปพม่า ไปลาว ไปเวียดนามไปจีน ไปทิเบต แล้วเข้าเนปาล แล้วมาอยู่ที่นี้ เพื่อจะเข้าอินเดีย ผมฟังแล้วก็ตกใจ ผมถามว่าทำมัยไม่เดินจากไทย มาพม่า แล้วมาอินเดีย ละ ? ท่านตอบว่าอยากเดินให้ทั่วดินแดนสุวรรณภูมิ เพราะท่านได้ปาวารณาตัวไว้แล้ว ( หมายถึงอธิษฐานจิตก่อนออกเดินทาง)

▬ ผมไม่สงสัยว่าท่านเดินทางมาได้อย่างไร ก็เพราะท่านมีพระของทุกชาติ ที่เดินผ่าน ผมจึงถาม ท่านว่า ท่านฉันอาหารอย่างไร ? ท่านตอบว่าฉันมื้อเดียว คือช่วงเช้าจนถึงก่อนเที่ยง เวลาไหนก็ได้ แต่ต้องก่อนเที่ยงวัน ผมถามท่านว่า อยู่ที่นี่ มีแต่คนฮินดู ท่านบิณฑบาต รอย่างไร ? ท่านไม่ได้ตอบ ได้แต่ยิ้ม ผมสงสัยในใจแต่ไม่ถามท่านต่อ ผมบอกนิมนต์ท่านไปว่า พรุ่งนี้ผมขอเอาอาหารมาถวายที่นี่ ไม่ต้องไปรับบาตร ที่ไหน แล้วผมก็ลากลับ วันนั้นผมทำงานเสร็จ กลับมาที่โรงแรม ผมสั่งอาหารกับ ทางโรงแรม ให้ทำข้าวหมกไก่ ไว้ให้ผม สิบห่อ และผลไม้มี กล้วยหมอสองหวี และส้มอีกสองกิโล ตอนเช้าผมรีบเอาอาหารไปถวายพระท่านก่อน เมื่อท่านฉันเสร็จ แล้วให้พร ผม แล้วท่านชวนผมคุยว่า งานที่นี่เมือไรจะเสร็จ ? ผมตอบว่า อีกประมาอาทิตย์ กว่า ๆ ก็จะแล้วเสร็จ ท่านบอกผมว่าท่านมาอยู่ที่นี่ ได้ห้าวันแล้วมารอ ผมอยู่ ผมตกใจ ถามท่านว่า มารอผม ท่านรู้ได้อย่างไรว่าผมมาทำงานที่นี่ ? ท่านก็ได้แต่ยิ้มไม่ตอบผม พระทุกองค์ ก็ยิ้มให้กัน ท่านถามผมว่ามาอยู่ที่อินเดียนี่เจอ อะไรดี ๆ บ้างไหม ? ผมคิดอะไรไม่ออก เลยเล่าเรื่องที่ผ่าน ๆ มาให้ท่านฟัง รวมทั้งเจ้ากรวดเม็ดนั้นด้วย แล้วผมก็หยิบมัน ออกมาจากกระเป๋าสตางค์ ส่งให้ท่านดู

▬ ท่านหัวเราะ หึ หึ ๆ แล้วบอกผมว่า ท่านก็ได้มาถุงหนึ่ง มีคนฝากมาให้ผม ผมตกใจอีก ใครกัน รู้จักผมและฝากของมาให้ผม แล้วพระลาวองค์แรกที่ผมเจอ ก็ ล้วง เอาถุงผ้าสีขาวออกมาจากย่าม ส่งให้ท่าน ๆ เปิดปากถุงผ้าให้ผมดู ผมเห็นเจ้ากรวดสีขาวขุ่นเต็มไปหมดเลย ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ในระหว่างที่ท่านเดินทางจากทิเบตมาเนปาล และต้องเดินทางผ่าน เขาหิมาลัยซึ่งเป็นช่วงต้น แม่น้ำคงคา นั้น ท่านได้ ปักกรด ค้างคืนที่ภูเขาลูกหนึ่งในป่า ใกล้ชายแม่น้ำ ตอนเช้าพวกท่านเตรียมตัว จะออกเดินบิณฑธบาตได้มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งประมาณสิบกว่าคน เอาอาหารมาถวาย พวกท่าน ในกลุ่มนั้น มีผู้หญิงอยู่สองคน ท่าทางเป็นหัวหน้ากลุ่ม คนหนึ่งแต่งตัวด้วยผ้าแพรสีชมพูแดง อีกคนหนึ่ง แต่งตัว ด้วยผ้าแพรสีขาวเหลือง พอพวกท่านฉันอาหารที่พวกเขาเอามาถวายเสร็จแล้วให้พรจบ หญิงคนที่ แต่งตัวด้วยผ้าแพรสีชมพูแดง ก็เอาเจ้าก้อนกรวดพวกนี้ ออกมาถวายให้ แล้วผู้หญิงคนที่แต่งตัวด้วย ผ้าแพรสีขาวเหลืองก็ บอกว่าของในถุงนี้ ขอฝากมาให้ลูกชายเขาด้วย ท่านถามว่าลูกชายอยู่ที่ไหน ?

▬ พวกเธอบอกให้พวกท่านเดินทางมาทางนี้ มาที่ภูเขาลูกนี้ แล้วบอกทางให้ และบอกว่าที่ภูเขาลูกนี้ มีถ้ำอยู่ ให้มาพักที่นี้ และบอกว่า คนที่มาหาและเอาอาหารมาถวาย จะมีของสิ่งเดียวกัน เหมือนกับ ของในถุงนี้ ท่านบอกว่าตั้งแต่มาอยู่ทีนี่ก็มีผมนี่แหละที่มีของสิ่งนี้ เหมือนของในถุง แล้วท่านก็ส่งให้ผม ผมรับมา แล้วถามท่านว่า ผู้หญิงพวกนั้นเขาชื่ออะไรหรือ ท่านตอบว่าไม่ได้ถามชื่อ เพราะไม่เป็นการ สมควร ผมถามต่อว่า แล้วพวกเธอพูดอะไรอีกหรือป่าวหรือให้ผมเอาไปทำอะไร ? ท่านตอบว่า ผมจะรู้เองว่าเอาไปทำอะไร ผมงงมากในตอนนั้น และในตอนนั้น ผมคิดว่าผมโชคดี หรือป่าวที่มีเจ้า กรวดเม็ดนี้อยู่ในกระเป๋า ผมเลยถามท่านว่า หากเจ้ากรวดเม็ดนี้ทำให้ผมโชคดี แล้วทำมัย มันไม่ทำ ให้คน ขอทานพวกนั้นโชคดีบ้างละ? เพราะพวกเขาก็มี ท่านตอบว่าคนพวกนั้นอาจเป็นคนดีก็จริง มีเจ้ากรวดพวกนี้อยู่ในครอบครองก็จริง รู้ว่าเจ้ากรวดพวกนี้เป็นสิ่งนำโชคก็จริง แต่ไม่มีโอกาสใช้ ผมฟังก็ยังงง ๆอยู่

▬ ผมเลยถามว่า พวกเขาไม่มีโอกาสใช้อย่างไร ? ท่านตอบว่า ไม่มีโอกาสทำความดีเหมือนที่ ผมได้ทำมา ผมจึงโชคดี ได้ไปญี่ปุ่น ได้มาที่นี่อีก ได้ทั้งเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยง ได้ไปต่างประเทศ ได้พลอยอีกตั้งสองร้อยเม็ด ท่านยังบอกอีกว่าพลอยที่ผมมีอยู่คงเป็นพลอยแท้ ๆ เพราะท่านเดินธุดงค์ ผ่านชาวบ้านที่ร่อนหาพลอยมาเหมือนกัน และแถวนั้นก็ไม่มีพ่อค้าพลอยเข้าไปถึง ส่วนใหญ่ ชาวบ้าน จะใส่กันเอง ท่านขยายความอีกว่า ของดี หากเราไม่ได้ทำดี ของดีก็เปล่าประโยชน์ กลายเป็นของ ไร้คุณค่า

▬ ท่านยกตัวอย่างว่าในประเทศไทยมีพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อยู่ทั่วประเทศ ยังทำให้ทุกคน เป็นคนดีทั้งหมดไม่ได้เลย ถึงแม้คนเหล่านั้นจะไปกราบไหว้ขอพร แต่เมื่อคนเหล่านั้น กลับไปแล้ว ไปทำความชั่ว แล้วพระท่านจะให้พรคนชั่วได้อย่างไร ท่านบอกว่าพวกท่านเดินธุดงค์มานี้ ก็เพื่อ แสวงหาของดีคือ บรรลุพระธรรม ตลอดการเดินทางมาสามปี หากทำไม่ดีคงไม่มีโอกาสมาอยู่ตรงนี้แน่ ท่านตอบ ท่านบอกว่าขอให้ผมทำความดีตลอดไป อย่าทิ้งความดี แล้วจะมีดีอยู่ตลอดเวลา ท่านบอกว่า คนดีอยู่ตรงไหน แม้แต่ ผีที่ว่าร้ายยังต้องมาคุ้มครองคนดี และยังต้องกลัวคนดี

▬ ผมถามท่านว่า ท่านคิดว่าผมควรเอาเจ้ากรวดพวกนี้ไปทำอะไรดี ? ท่านบอกว่าท่านเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าถึงเวลานั้น ผมก็จะรู้เองว่าควรเอาไปทำอะไร และอย่าคิดว่ามันเป็นแค่ ก้อนกรวดเล็ก ๆ ธรรมดา หากไม่ดีจริงคงไม่ตามผมไปทุกที่ ผมถามท่านว่า ท่านจะเดินธุดงค์ไปอีกนานไหม ? ท่านตอบว่า ตั้งใจกันว่าจะเดินให้ครบทั้งสิบปี แล้วค่อยแยกย้ายกันกลับประเทศ ผมให้ที่อยู่ที่บ้านผมไว้กับท่าน ว่าหากท่านกลับมาเมืองไทยเมื่อไร ให้ช่วยเขียนจดหมายไปบอกผมที่บ้านด้วย ผมจะไปกราบท่าน ( แต่ปัจจุบันนี้ผมก็ยังไม่เคยได้รับการติดต่อมาเลย ผมจำชื่อท่านไม่ได้ จำได้แต่ว่า ท่านเดินทางออกมา จากวัดในจังหวัดอุบล) วันนั้นเมื่อท่านให้ของผมเสร็จ พวกท่านก็เก็บของออกเดินธุดงค์ต่อ ผมกราบลา พวกท่าน แล้วกลับมาทำงานต่อ

▬ ผมได้แต่สงสัยอยู่ในใจ และนึกทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผมที่ผ่าน ๆ มา เมื่อผมทำงานเสร็จ ผมกลับไปที่สถานี ที่พบเจ้ากรวดเม็ดนี้อีก ผมเดินหารอบ ๆ สถานีและ ที่ ๆ รถเคยจอดอยู่ ก็ไม่สามารถ พบได้ เลย เพราะพื้นที่ถูกปรับ ใหม่ทั้งหมด และ สร้างตัวอาคารสถานี ไปแล้ว เมื่อวีซ่า ผมครบ สองเดือน ผมก็เดินทางกลับมา กรุงเทพ ฯ ได้พักผ่อนหนึ่งอาทิตย์ ผมนำเจ้ากรวดทั้งหมดกลับมาด้วย รวมทั้งพลอยทั้งหมด ผมเอาเจ้ากรวดทั้งหมด ล้างน้ำ ใส่พาน ตั้งไว้บนหิ้งพระ คงเหลือแต่ เจ้ากรวดเม็ดแรก เม็ดเดียวเท่านั้นที่ติดตัวผมอยู่ในกระเป๋าสตางค์ มาถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้ ผมยังไม่รู้เลยว่า มันคืออะไรกันแน่ เวลาผมเอาพลอยไปตรวจตามสถาบันต่าง ๆ ผมก็ลืมเอามันออกมา ให้เขาตรวจทุกที ไป ส่วนเจ้าพลอยทั้งสองร้อยเม็ดนั้นผมเอาไปตรวจสอบทั้งหมดว่ามันคืออะไรบ้าง

วันนี้ ขอแค่นี้ก่อนนะครับ ผมรีบเล่าแต่เช้าเลยกลัวจะโดนว่าเอาเหมือนกัน

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1220