อาถรรพ์ของพลอย ภาค 9

เล่าเรื่องโดย ... คนหาพลอย

▬ สวัสดีครับทุกท่าน ช่วงวันหยุดผมต้องขอตัว เพราะผมมีเวลาอยู่เมืองไทยน้อย วันหยุดผมชอบไปหาที่ทำบุญ หรือไม่ก็ไปหาแม่ที่ต่างจังหวัด แต่ส่วนใหญ่ก็จะไปหาแม่ ผมนิสัยไม่ค่อยดีอย่างหนึ่ง เวลาอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ผมกินข้าวได้น้อยตัวผมเล็ก ไปกินข้าวตามร้านอาหาร ก็ไม่ค่อยถูกปาก ผม ชอบกลับไปกินที่บ้าน แม่ผม ๆ ก็ชอบ ทำกับข้าวให้ ผม โดยเฉาะแกงส้ม ดอกแค ผมชอบมากใคร แกงให้ผมกิน ก็ไม่อร่อยเท่าแม่ผมแกงให้ ถ้าเป็นน้ำพริกกะปิ นะ นี่ต้องพ่อผม ผมตำกินเองเท่าไหร่ ก็ไม่เคย อร่อยเท่าพ่อผมตำให้ บางครั้งผมกินข้าวกับมะเขือเปราะจิ้มน้ำพริก และแกงส้ม แค่นั้นแหละครับ กับข้าวอย่างอื่นผมไม่ได้สนใจเลย

▬ ขนมผมก็ชอบขนม ดอกโสน ( ใครรู้จักดอกโสนบ้างครับ ) เอาดอกโสนในหนองน้ำตามทุ่งนา นะครับ ทำเหมือนกับขนมตาลนะครับ แต่เปลี่ยนจากลูกตาลสุก มาเป็นดอกโสนแทน แล้วยีเป็นเม็ดเล็ก ๆ เหมือนขนมขี้หนูนะครับ พอสุกแล้วก็ ขูดมะพร้าวอ่อน โรย และน้ำตาลนิดหน่อย โอ้ โฮ อร่อย อย่าบอกใครเชียว ทั้งหอมลิ่นดอกโสน และ มันหวาน มีอยู่ครั้งหนึ่งผมกลับไป หลังบ้านแม่ผม เป็นหนองน้ำ ดอกโสนกำลังออก เหลืองไปหมดเลย น้องชายผมถามผม พี่กินขนมดอกโสนไหม ? ผมบอก กินซิ น้องชายผมก็ไปเก็บดอกโสนมาให้ แม่ผมทำขนมให้ วันนั้นประมาณ บ่ายสามโมง เห็นจะได้ เพื่อนผมเห็นผมกลับมาที่บ้าน ก็มาคุยกับผม พอดีคุยเพลินไปหน่อย ผมนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบ กลับกรุงเทพ ฯ ผมขับรถออกมาจากบ้าน และแวะมาส่งเพื่อนที่บ้านเขา พอ ออกจากบ้านเพื่อน ผมก็ขับรถมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพเลย วิ่งมาได้ประมาณ 20 กว่ากิโล ผมนึกขึ้นได้ ว่าแม่กับน้องชาย ช่วยกันทำขนมให้ผมกิน อยู่ในครัว ป่านนี้คงสุกแล้ว ถ้าไม่กลับไปกิน เดี๋ยวแม่กับ น้องเสียใจแย่เลย

▬ ผมขับรถกลับไปบ้านใหม่ พอกลับถึงบ้าน พ่อผมก็ตำน้ำพริกไว้ให้ผม แม่ผมยังแกงส้มดอกโสน รอผมอยู่อีก ผมนึกในใจหากไม่กลับมากิน พ่อ แม่ และ น้อง ผมคงเสียใจแย่ และตัวผมเองก็อดกิน ของอร่อย ๆ ไป ที่ผมเล่าให้ฟังนี้ก็ไม่รู้ ท่านอื่น เป็นเหมือนผมบ้างหรือป่าวครับ เพราะผมกินกับข้าว ที่ไหนก็ไม่เคย อร่อยเท่าพ่อ แม่ ทำให้ หรือเป็นเพราะผมกินมาตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ไม่รู้ พอโตขึ้นไปกินที่อื่น เลยไม่คุ้น กับรสชาติ

▬ บางทีเวลาผมไปต่างประเทศ หากต้องไปหลายวัน ผมจะโทรไปบอกแม่ให้ตำน้ำพริกเผา ใส่ขวดไว้ให้ผมที ผมจะเอาไปกินต่างประเทศ เพราะไปซื้อที่เขาทำขายไม่ค่อยอร่อยเลย ไม่รู้เป็นงัย

▬ เอามาเล่าเรื่อง เจ้ากรวดเม็ดนั้นต่อดีกว่าว่ามันทำให้ผมโชคดีอย่างไรบ้าง ผมกลับมาอยู่กรุงเทพ ได้ห้าวันทางญี่ปุ่นก็ส่งผมไปอยู่อินเดีย คราวนี้ผมต้องอยู่ถึงสองเดือน เพราะต้องคุมงานสร้าง ก่อนไป อินเดีย ผมไปทำบุญที่วัดพระพุทธบาทสระบุรี พอปิดทองพระเสร็จผมก็ไปให้หลวงพ่อ พรมน้ำมนต์ เสร็จแล้วผมก็บอก หลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับผมจะไปทำงานที่อินเดีย มีของดีอะไรให้ผมติดตัวไป บ้างครับ หลวงพ่อถามผมว่าไป เมืองไหนละ ผมบอก อมาริสาครับ ( Amaritsar ) หลวงพ่อบอกที่นั้นหลวงพ่อเคยไป มาเมื่อสองปีมาแล้ว ที่นั้นมีของดีเยอะ ที่ตัวเธอก็มีของดี จะเอาอะไรอีก แล้วท่าน ก็เอาได้สายสิญจน์ ผูกข้อมือให้ผม และพรมน้ำมนต์ให้ผมอีก

▬ ผมไปอยู่อินเดีย ทางญี่ปุ่นเช่าห้องของโรงแรมทำเป็น office และ ห้องพักไว้ให้ ที่นี่อยู่ติดชายแดนสามประเทศ คืน เนปาล ปากีสถาน จีน และบางครั้ง น่ากลัวมาก เพราะแคว้น แคชเมีย ยังมีปัญหากันอยู่ ระหว่าง ปากี กับอินเดีย มีอยู่ สถานีหนึ่ง (site งาน) อยู่ในเขต แคชเมีย ฝังอินเดีย หากผมมาทำงาน ที่สถานีนี้ผมต้องนอนที่นี่ เพราะไกลจากตัวเมืองมาก และตัวสถานีส่งสัญญาณ ก็อยู่บนเขา บางครั้งนอนกลางคืนยังได้ยินเสียงปืน แล้วหนาวมากด้วย ที่อินเดียมีคนญี่ปุ่นมาอยู่ กันห้าคน ทำงานออก site งาน กับผมคนหนึ่ง มีคนอินเดียอีกสองคน เป็นวิศวกรคนหนึ่ง และเป็นคนขับรถอีกคนหนึ่ง

▬ คนขับรถพอพูด ภาษาไทยได้บ้างเพราะเคยมาขาย โรตีอยู่เมืองไทย ตัวผมเองไม่ค่อยอยากเข้าไป ในตัวเมืองเท่าไร เพราะคน มาก และสกปรกมาก ตอนเช้ากินข้าวที่โรงแรม และยังให้ทางโรงแรมทำ ใส่ห่อ ไปกินตอนกลางวันอีก เพราะไม่อยากไปซื้อกิน และเขาขายเป็นเวลา เช่น เปิดห้าโมงเช้า ปิด บ่ายสองโมง หากไปไม่ทันก็อดกิน ในรถเราก็จะมีข้าวสารอาหารแห้งติดรถไว้เผือฉุกเฉิน

▬ มีอยู่สถานีหนึ่ง อยู่ใกล้กับชายแดน เนปาล มีคนจนอยู่มาก มีอยู่วันหนึ่ง เรากำลังทำงานกันอยู่ คนขับ เดินมาบอกผมว่า นาย ๆ มีของดีเอาไหม ? ผมถามว่าอะไร เขาบอกว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง เอาลูกสาวมาขาย ผมบอกว่ามีด้วยหรือ ไหนไปดูซิ เราเดินออกมานอกสถานี เห็นมีผู้หญิงวัยกลางคน และเด็กผู้หญิงอายุน่าจะประมาณ 14 - 15 ปี ผมกะ ในใจ หน้าตาออกไปทางจีนผสมแขก คล้าย ๆ มองโกเลีย ผมให้คนขับรถถามว่า จะเอาลูกมาขายทำมัย ก็ได้คำตอบว่า เขาอยากได้เงินใช้ เพราะไม่มีเงิน เป็นคนเนปาล ผมเลยให้เงินไป 1000 รูปี แล้วไล่ให้กลับไป

▬ สถานีนี้ บางวันก็ มีผู้หญิงมา ขายตัว วันหนึ่ง สองถึงสามคน เพราะเขารู้ว่ามีคนต่างชาติมาทำงาน ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยว ส่วนญี่ปุ่นและพวกคนพื้นที่ เป็นบางวัน (จริง ๆ ถึงตอนนี้ไม่อยากจะเล่าให้ฟัง แต่ก็อยากจะอธิบายสภาพของคนที่นี้ให้ทราบ บ่างอย่างผมก็ไม่เล่า เอาไว้หากคุณได้ไปอินเดีย แล้วคุณจะทราบเอง) เมืองนี้หากตอนกลางวันขับรถไปสองข้างทางจะเห็น พวกคนจนนอนข้างถนน เยอะมาก

▬ มีอยู่วันหนึ่งเราลงเขามาเที่ยวในตัวเมืองข้างล่าง เราเจอสองแม่ลูกนั้นอีก พอเขาเห็นเรา ก็รีบวิ่งมาหา แต่ถ้าทางหน้าสงสารมาก สอบถามดูได้ความว่าเงินที่ผมให้ไปนั้น โดนขโมย ไม่มีเงินเลยตอนนี้ พวกคนพื้นที่บอกว่าอย่าไปให้อีก เขาโกหก เห็นผมใจดี จะมาขอใหม่ แต่ถ้าทางเขาอ้อนวอนเข้ามาจับแขนผมอยู่ ผมคิดในใจ หากเป็นอย่างนั้นจริง ก็ไม่น่าจะให้ แต่หากเงินเขาหายจริง ๆละ เขาไม่มีเงิน เขาต้องขายลูกสาวอีกหรือ ผมตัดสินใจ ให้ไปอีก 1000 รูปี เขาดีใจร้องไห้ใหญ่ ลูกสาวเขาเข้ามาขอบคุณใหญ่เลย ญี่ปุ่นเลยให้ไปอีก 1000 รูปี ผมกับญี่ปุ่นโดนคนพื้นที่ต่อว่าใหญ่ ( เพราะคนขับรถผมเงินเดือนแค่สองพันรูปี) สองพันนี่ก็ถือว่าเยอะมาก ก็เท่ากับ สองพันบาทไทยเหมือนกัน

▬ อีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมาผมมาซื้อของที่ ในเมืองนี้อีก สองคนกับคนขับรถ มีชาวเนปาล เอาพลอยมาขายให้ผม ถุงหนึ่ง ราคาห้าพัน รูปี ผมบอกไม่ซื้อเพราะว่าดูพลอยไม่เป็น แต่ก็โดนตามตื้ออยู่นั่นแหละ คนขับรถไล่ก็ยังไม่ยอมไป ผมกลับขึ้นไปทำงานบนเขา ตอนบ่าย ๆ เจ้าคนขายพลอย ไม่รู้ ว่า รู้ได้อย่างไรว่า ผมอยู่บนเขา ตามขึ้นมา เอาพลอยมาขายให้ผมอีก ผมไม่รู้จะทำอย่าไร เลยตัดสินใจซื้อหมดถุงเลย ผมโดนพวกคนพื้นที่ต่อว่าอีก ว่าโดนหลอกอีกแล้ว เดี๋ยวมันก็มาขายให้อีก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ เอาพลอยยัดใส่กระเป๋า กะว่ากลับถึงโรงแรมแล้ว ค่อยเอาออกมาดู ตอนเย็นผมกลับมาที่โรงแรม กินข้าว และอาบน้ำเสร็จ ผมเอาพลอยออกมาดู ก็ เห็นมีทุกสีเลย บางเม็ดก็ เจียระไนแล้ว แต่ก็เบี้ยว ๆ เหลี่ยมไม่สวย บางเม็ดก็ไม่ได้เจีย กลมๆ แต่ละเม็ด ขนาด เท่า กับปลายนิ้วก้อย บางเม็ดก็ใสแจ๋ว บางเม็ดก็ทึบ บ้างเม็ดก็ มีตำหนิ และรอยแตก ทั้งถุง นับดูได้ 200 เม็ดพอดี ทีแรกผมคิดในใจ คงเป็นลูกปัดสีธรรมดา ผมเอากล้องส่องพระ ที่ติดอยู่ที่พวงกุญแจบ้าน ในกระเป๋าเดินทางมาส่องดูเนื้อ ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาบ้าง ว่านี่ไม่ใช่ ลูกแก้ว แต่อาจเป็นลูกปัดหิน เพราะมีตำหนิ หิน และ ผลึกหิน ผมเลือก ออกมาเม็ดละสี ได้เจ็ดสีพอดี แยกออกมาเก็บใส่ถุงเล็ก ๆ ไว้ในกระเป๋าเอกสาร พร้อมกับกล้องส่องพระ เผื่อเวลาไปทำงานตาม สถานีต่าง ๆ หากมีเวลาว่าง จะได้เอาออกมา ส่องดู ที่เหลือก็ใส่ถุง เก็บไว้ในกระเป๋าเดินทาง ที่ห้อง ในโรงแรม

▬ ผมไปทำงานตามสถานที่ต่าง ๆ พอมีเวลาว่าง ผม ก็ เอาออกมานั่งส่องดูเนื้อ ดูแต่ละเม็ด ว่ามันแตกต่างกันอย่างไร ผมดูจนจำมันได้ว่าแต่ละเม็ด มีตำหนิ อยู่ตรงให้บ้าง และแตกต่างกันอย่างไร บางครั้งเวลากลับไปที่โรงแรม ผมก็เปลี่ยนเอาเม็ดอื่น ออกมา ส่องดู พวกญี่ปุ่น และคนพื้นที่ เวลา เห็นผมว่างเอา พลอยมาส่องดู ก็ พากันหัวเราะ เห็นเป็นเรื่องตลก ไป ผมก็ไม่ได้สนใจพวกเขา ได้แต่คิดในใจว่าดีเสียอีกจะได้ไม่ ฟุ้งซ่านเหมือน พวกเขา ผมเห็นพวกญี่ปุ่นแต่ละคน เวลากลางคืน กว่าจะนอนกันได้ ก็เที่ยงคืนตีหนึ่ง (ไม่อยากบอกว่าพวกเขาไปทำอะไรกัน) ส่วนคนพื้นที่ ผมก็รู้นิสัย พวกเขาอยู่ ส่วนผมหากมีเวลาว่างบ้าง ผมก็จะไปเดินเล่นตามในตลาดบ้าง ดูว่าเขามีอะไรขายบ้าง และความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นอย่างไร วันนี้ขอหยุดไว้แค่นี้ก่อนนะครับเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาต่อครับ

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1217