อาถรรพ์ของพลอย ภาค 7

เล่าเรื่องโดย ... คนหาพลอย

▬ ขอบคุณทุกท่านมากครับ ที่เป็นกำลังใจให้ และขอขอบคุณทุกท่านที่นำบุญมาฝากครับ และขอนอบรับบุญจากท่านเช่นกันครับ ผมก็ไปเวียนเทียน ที่วัดใกล้ ๆ บ้านมาครับ และขอแบ่งบุญที่ได้ทำมานี้ให้กับทุกท่านด้วยครับ และขอขอบคุณนายทหารทุกท่าน ที่เมื่อวานท่านได้ไป ย้ายปากกระบอกปืนใหญ่โบราณ ชื่อพญาปัตตานี และอะไรอีกกระบอก หนึ่งผมจำไม่ได้ ให้หันหน้าไปทางอื่น ( หากใครดูข่าวช่อง เก้า จะทราบได้ ) ใจจริงผมอยากให้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ข้างๆ พระพุทธสิหิงค์ ทั้งหมดเลยนะครับ ปืนพวกนั้นยังใช้การได้อยู่นะครับ ดวงเมืองจะได้ดีขึ้น ( เห็นแล้วไม่สบายใจครับ )

▬ ผมจะเล่าเรื่อง ผมให้ฟังครับ ตัวผมเองไม่ได้เป็นพ่อค้าพลอย หรือคนเดินพลอย หรือคนหาพลอยโดยอาชีพครับ ผมเป็นวิศวกร โทรคมนาคมครับ หากผม บอกชื่อจริง นามสลุลจริง ของผม อย่างน้อย วิศวกร หรือช่างใน องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ( ตอนนี้เป็นบริษัทไปแล้ว ) ต้องรู้จักผม เกือบทั้งประเทศแหละครับ ตอนผมทำงานในเมืองไทยผมก็เดินทางไปทั่วประเทศ ทุกอำเภอมาแล้วครับ ผมจึงจำเป็น ต้องปกปิดข้อมูลบางอย่าง ไม่อยากบอก ตรง ๆ บ้างครั้งต้องเขียนอ้อมไป หรือข้ามบางตอนไป แม้แต่ชื่อ คน หรือชื่อประเทศที่ผม ไปมา ก็ไม่อยากบอก เพราะในปัจจุบันนี้ผม ก็ยังทำงานอยู่ แต่เวลาว่าง ๆ หรือวันหยุด ผมก็ หาพลอย ครับ ผมทำงานเป็น วิศวกรด้านโครงสร้างให้กับ บริษัทใหญ่ในด้านอุปกรณ์ ระบบโทรคมนาคมของญี่ปุ่นครับ บริษัทนี้มีงานทำไป เกือบทั่วโลก รวมทั้งในเมืองไทยเราด้วยครับ คุณคงเคยเห็นเสาส่งสัญญาณ หรือสถานีทวนสัญญาณ บนเขาตามป่า เช่นเขาแผงม้า ที่สระบุรี เขาคอหงส์ ที่หาดใหญ่ หรือเสาของสถานีส่งสัญญาณมือถือ ที่พวกคุณมีกันทุกคน นั้นแหละครับ ตอนนี้ในเมืองไทยก็กำลังขยาย ของ DTAC และ TA อยู่ ครับ เพื่อให้สัญญาณมือถือที่คุณใช้ สามารถโทร ได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทยยังงัยละครับ

▬ แต่ผมรับงานของญี่ปุ่นมา เป็น JOB ๆ ไปครับ เช่นหากเขาประมูลงานได้ที่ อินเดีย ระยะงานประมาณ ห้าเดือน เขาก็จะติด ต่อผมไป เป็นวิศวกร ควบคุมงานสร้าง พื้นฐานให้ หรือจ้างให้ไปสำรวจ ( SURVEY ) หาสถานที่ ตั้งสถานี รับส่งสัญญาณครับ บางประเทศ ไม่เคยมีคนไทยเข้าไป แต่ผมก็เขาไปมาแล้ว ผมทำกับเขามาเป็นสิบปีแล้วครับ ผมไม่เคยเรียกร้อง ค่าแรงเขาแพงหรอก ครับ ผมจะให้เสนอมา หากผมไปได้ ผมก็ไป หากผมไปไม่ได้ผมก็ไม่ไป แต่ส่วนใหญ่ เขาก็จะให้ผมไปทำให้ เวลาไม่มีงานผมก็อยู่ เฉย ๆ ไม่มี เงินเดือนนะครับ หากไม่ได้ทำงาน

▬ แต่ส่วนมากก็ อยู่บ้านไม่เกินเดือนกว่า ๆ เขาก็เรียกมาแล้วครับ บางงานก็เรียกวันนี้ บอกให้ผมเดินทางพรุ่งนี้เลยก็มี เพราะหนังสือเดินทางผมอยู่กับเขา มีช่วงสองสามปีมานี่แหละครับ หากไม่มีสงครามอิรักผมก็คง อยู่ที่อิรักแล้ว ตอนนี้ผมก็เลยมีเวลาว่างมากหน่อยครับ พวกญี่ปุ่นเวลาว่างเขารู้ว่าผม ชอบหาพลอย บางที่เขาก็มาชวนผมไปกับเขา ให้ผมไปช่วยซื้อพลอยให้ (ในบางประเทศนะครับ ) บางที่ส่งผมไปทำงานที่ศรีลังกาเวลาผมกลับมา ก็แห่กันไปรับผมที่สนามบิน ค้นกระเป๋าผม เพื่อดูว่าผมได้ซื้อพลอยอะไรมาบ้าง เขาจะได้ซื้อต่อผม บางที่งานผมเสร็จแล้ว แต่ วีซ่า ยังไม่หมดอายุ ก็ให้ผมอยู่ต่อ เพื่อให้หาซื้อพลอยให้ ก็มี

▬ บางประเทศที่เขาส่งผมไปทำงาน บริษัทในประเทศนั้น เจ้าของบริษัท ก็เป็นพวกคนที่อเมริกา ต้องการตัว ทั้งนั้นเลยครับ ( บุคคลพวกนี้ในประเทศนั้น ๆ ค้าขาย ยาตราม้าลำพอง จนร่ำรวย ก็ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร ก็หันมามีอิทธิพลใน รัฐบาลของประเทศนั้น ๆ ทำ มือถือบ้าง ทำสายการบินบ้าง ทำเหมืองพลอยบ้าง ทำโครงข่ายระบบโทรคมนาคมบ้าง เป็นเพราะรัฐ บาลของประเทศนั้น ๆ ไม่มีเงินพอครับ เลยต้องให้สำประทานกับคนพวกนี้ ) เวลาทำงานเสร็จ ทางญีปุ่นไปเก็บเงินที่ไหนท่านทราบ ไหมครับ ? ถ้าเป็นประเทศมุสลิม ก็ ไปเก็บที่ มาเล ฯ ถ้าเป็นประเทศ ที่ ไม่ใช่มุสลิม ก็ไปเก็บที่ สิงค์โปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน

▬ ผมไม่แปลกใจเลยครับว่าประเทศพวกนี้ทำไม่จึงร่ำรวย เอกสารเวลาที่ผมทำส่งงานมันฟ้องผม ว่าต้องส่งไปที่ไหนไปทำอะไร ยิ่งเดี๋ยวนี้ คนพวกนี้ เปิด LC ค้าขายไม่ได้ เพราะต้องใช้เงินดอลลาร์ ด้วยแล้ว เขาจำเป็นต้องซื้อขายเงินสดครับ บางครั้งผมก็ต้องหิ้ว กลับมาเป็น หมื่นดอลลาร์แหละครับ

▬ คุณอาจสงสัย ว่าจริงหรือ ผมจะยกตัวอย่างให้ดู คุณลองไปไหว้เจ้าแม่ กวนอิมที่มี คนจีนมา สร้างไว้ให้สิครับ เจ้าแม่ องค์ ใหญ่ ๆ อาจชอบอยู่บนเขา ( เป็นบางที่นะครับ ) จะมีคนจีนแก่ ๆ มาจาก ไต้หวันมาเจิม หน้าผากให้คุณ และบอกว่าเป็นความลับสวรรค์ เปิดเผยไม่ได้ และคุณต้องจ่ายเงิน อย่างต่ำคนละ 100 บาท จะได ้ส้ม คนละ สองลูก บางวัดมีคนมา ทำบุญเป็นร้อย ๆ คน ต่อวัน

▬ ท่านทราบไหมว่าคนพวกนี้เอาเงินไปทำอะไร เมื่อก่อนนี้ผมก็ชอบไปทำบุญ โดยไม่คิดอะไร แต่เดี๋ยวนี้ ผมได้มาทำงานแบบนี้ ผมได้เห็นเบื้องหลังของพวกเขา ผมไม่ไปทำบุญแบบนั้นแล้วครับ บ้างครั้งผมไปตามโรงเรียนที่อยากจนตามบ้านนอก ซื้อเครื่องกีฬาไปบ้าง ซื้อรถจักรยานไปบ้าง เอาไปให้ที่โรงเรียนครับ บางโรง เรียน เวลาเด็ก ๆ เห็น ลูกฟุตบอล ที่ผมถือไป น้ำตาซึม ดีใจกันใหญ่ บางที่ก็ซื้อหนังสือสารานุกรมไทยทั้งชุดไปให้ ครับเพราะบาง โรงเรียนไม่มี พวกครูอาจารย์ จะดีใจกันใหญ่ครับ ผมคิดในใจว่าทำกับเด็ก ๆ ดีกว่า ทำแล้วจะร้องไห้ หากคุณได้เห็นอาการดีใจของ เด็ก ๆ บ้างทีผมก็คิดในใจว่าไม่อยากทำบุญกับวัดใหญ่ ๆ แล้ว ไม่รู้เอาเงินไปทำอะไรหมด

▬ ผมเคยไปทำบุญกับเด็กนักเรียนที่ โรงเรียนในจังหวัดราชบุรี ถ้าจำไม่ผิด อยู่อำเภอโพธาราม เป็นโรงเรียนวัด ชื่อท่าหลวงพล หรือ ท่าพลผมจำไม่ได้ หลวงพ่อที่วัด ท่านเป็นประธานโรงเรียนอยู่ ท่านบอกผมว่า ท่านเป็นผู้ออกค่าอาหารกลางวัน ให้เด็กนัก เรียนที่โรงเรียนนี้ เดือนหนึ่งก็เป็นหมื่นบาท เงินทำบุญ ที่ประชาชนมาถวายมาทำบุญ ท่านจะเก็บไว้ให้กับโรงเรียน เพราะที่วัดไม่ได้ สร้างอะไรอีกแล้ว มีครบหมดแล้ว เวลามีประชาชนมาทำบุญก็จะเก็บไว้ เป็นค่าอาหารกลางวัน ของนักเรียน ท่านบอกว่าหากทุกวัด ในประเทศไทย หากทำได้แบบนี้ เด็กนักเรียนก็จะไม่เดือดร้อน ค่าอาหารกลางวัน และยังมีหลือเป็นค่าสมุดหนังสืออีก ท่านบอกว่า วัดทุกวัดในประเทศไทย มีเงินฝากใน ธนาคารไม่ต่ำกว่า วัดละ หนึ่งล้านบาท ในประเทศไทยมี่วัดอยู่ สองหมื่นกว่าวัด หากเอาเงินนั้นมา ตั้งเป็นกองทุนให้เด็กนักเรียน ก็จะได้ ไม่ ต่ำกว่า สองหมื่นล้านบาท รัฐบาลก็ไม่ต้องเดือดร้อน เพราะเงินที่เขา เอามาทำบุญ เป็นเงินของคนที่เดือดร้อน เขาเดือดร้อน เขาจึงมาทำบุญ คนยิ่งจนก็ยิ่งมาทำบุญ เพื่อให้สบายใจ หากเอาเงินเขาไปฝาก ไว้ในธนาคาร เฉย ๆ วัด กับพระนี้แหละ จะมีบาป ยิ่งเป็นเงินที่ ชาวบ้านแถว ๆวัดด้วยแล้ว ต้อง ไม่ให้ลูกหลานเขาเดือดร้อน ท่านว่า อย่างนี้

▬ ว้า ผมก็พอคิดได้ก็เขียนไปเรื่อยเลย เหมือนจะนอกเรื่อง ไม่ได้ว่าประเทศเหล่านั้นนะครับ หรือว่าใครนะครับ พยายามจะ ยกตัวอย่าง ให้ท่าน ได้เห็นกัน และตรวจสอบกันได้ ง่าย ๆ ผมเองก็นับถือเจ้าแม่กวนอิม ที่บ้านก็มีรูปท่าน แกะจากไม้เนื้อหอม อย่าดี เลย ผมบูชาความดีของท่าน ครับ บูชาความดีของทุกศาสนา ที่สอนให้คนเป็นคนดี ครับ พ่อสอนผมว่าเกิดเป็นคนต้องหาของดีใส่ตัว จะไปอยู่ที่ไหน ก็ไม่ต้องกลัว เอานอกเรื่องไปใหญ่แล้วผม แต่ท่านลองไปคิดดูนะ

▬ ผมอาจมีโอกาสดีกว่า คนหาพลอยบางคน ก็ตรงนี้แหละครับ ผมเป็นคนหาพลอยโดยไม่รู้ตัว เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ผมถูกส่งไปทำงานที่อินเดีย ไปสำรวจหาสถานที่ตั้งสถานีทวนสัญญาณ งานผมต้องเข้าป่าขึ้นไปบนเขา ผมพักที่โรงแรม และต้องตื่นแต่เช้าออกไปทำงาน กับพวกคนญี่ปุ่น และคนพื้นที่อีกสี่คนรวม หกคน ไปสำรวจสถานที่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่บนเขา ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก เราสำรวจวัดพื้นที่ เสร็จ ( พื้นที่บนเขา ) ก็นั่งพักผ่อนกินน้ำกัน

▬ โดยปกติ ผมไปอยู่ไหนก่อนที่ ผมจะกินอะไรเขาไป ผมก็จะเรียก เจ้าที่เจ้าทาง ครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้กินก่อนเสมอ (พ่อผมเป็นคนโบราณแก่ชอบสอนผม เรื่องแบบนี้ แก่บอกว่าทำแล้วดีเอง และจะรู้ได้เองว่ามันดีจริงๆ ) ก่อนผมจะกินน้ำ ผมเปิดขวดน้ำ ตั้งไว้บนพื้น และเรียกเจ้าที่เจ้าทาง ให้ดื่มน้ำก่อนผม บริเวณที่พวกเรานั่งอยู่ มี่ต้นไม้ขึ้น ร่มเย็นมาก ด้านหน้าที่เรานั่งกันอยู่ เป็น ที่โล่งเตียน พวกบริษัทรับทำทาง ขึ้นเขา ได้มาทำไว้ให้ และปรับพื้นที่ ไว้รอสร้าง ตัวอาคาร สถานีส่งสัญญาณ พอผมจะหยิบน้ำกิน ขวดน้ำก็หายไปแล้ว ผมนึกในใจ ว่า อ้าว เมื่อกี่ตั้งไว้นี่ ๆ หว่า มันหายไปไหน ผมนึกในใจว่าคนอื่น ๆ คงเอาไปกิน ผมเลยลุกเดินไป ที่รถไปเอามาอีกขวดหนึ่ง เปิดกินเลย แล้ว ตั้งขวดน้ำไว้ข้าง ๆ ตัว ทันใดนั้นก็มี คนเดินออกมาจาก พุ่มไม้ข้าง ๆ สองสามคน ตัวดำผอมสูง ผมยาวไม่เคยหวี หนวดเครา ยาว ไม่เคยตัด มีผ้าผืนเดียว ปิดของสงวนไว้ คนหนึ่งถือขวดน้ำอยู่ ผมนึกในใจ นั้นขวดน้ำที่หายไปเมื่อกี่ นี่ เขามาหยิบไปเมื่อไร ทำมัย ไม่มีใครเห็น คนพื้นที่ทีมาด้วยกันกับผม ลุกขึ้น ไล่พวกเขา ให้ไปให้พ้น ญี่ปุ่นที่มาด้วย ร้องห้าม บอกว่าเขาคงหิวน้ำ และใช้ ให้คนพื้นที่ เดินไปเอาน้ำในรถไปให้พวกเขา คนพื้นที่หันมาต่อว่าญี่ปุ่นอีก ว่า อย่าไปให้ เดี๋ยวก็มาขอ อะไรต่ออะไรอีก และไม่มี ใครไปเอาน้ำให้คนพวกนั้นเลย ผมนึกในใจช่างมัน เดี๋ยวเราก็กลับแล้ว น้ำก็มีในรถเยอะแยะ

▬ ผมเดินไปที่รถหยิบให้พวกเขาไปคนละ ขวด ญี่ปุ่นเห็นเข้า หัวเราะชอบใจใหญ่ เดิน มาหยิบขนมปังที่ซื้อ มากินกัน แจกพวกเขาไปอีก แล้วหันมาหัวเราะกับผม ทำให้คนพื้น ที่ ๆมาด้วยไม่ค่อยพอใจ พวกนั้นไม่ขอบคุณเราเดินหายเข้าไปในพุ่มไม้ พวกเราเก็บของ เตรียมที่จะเดินทางต่อไปอีกสถานที่หนึ่ง เพราะตามกำหนดการ ( Schedule) วันนี้พวกเราต้องสำรวจ ได้อย่างน้อย สองสถานี ผมกำลังขึ้นรถ คนพวกนั้น ก็เดินออกมาจากพุ่ม ไม้อีก มีคนหนึ่งเดินมาหาผม ในมือของเขากำอะไรไว้สักอย่าหนึ่งก็ไม่รู้ คนพื้นเมืองที่มาด้วยเห็นเข้า ก็ไล่เขาให้ไปให้พ้น ๆ อีก เขา สงมือมาที่ผม และแบบมือออก เป็นกรวดเม็ดเล็ก ๆ สีขาวขุ่น ๆ เต็มกำมือเลย ผมหยิบขึ้นมาดูเม็ดหนึ่ง เท่าหัวไม้ขีด ผมนึกในใจ อะไรของมันวะ ญี่ปุ่นก็เดินเขามาดู แล้วพูดกับผมว่า เขาเอาทรายมาให้เราดูมั่ง คงคิดว่า ถ้าสร้างสถานีเราต้องใช้ เขาอาจอยากจะขายให้ เราก็ได้ ผมเลยส่งคืนใส่มือเขาไป คนพื้นเมืองที่มา ด้วยไล่ เขาไปอีก และปัดมือเขา ทรายที่กำอยู่ กระจายไปหมดเลย แล้วไล่ให้เรา รีบขึ้นรถ ขับลงเขามา ญี่ปุ่นถามคนพื้นเมืองว่าคนพวกนี้เป็น ใคร ก็ได้รับคำตอบว่า เป็นพวก จันทาน ( คนไม่มี หันนอนปลายเท้า พวกเร่ร่อน หาเช้ากินค่ำ ไม่มีบ้านอยู่ บางคนก็ขอท่าน )

▬ ผมกับญี่ปุ่นมองหน้ากัน ไปมา ผมนึกในใจ ฟังแต่เขาเล่าได้มาเห็นของจริง แล้ว นึกๆ ก็มองไปแถว ๆ ข้างทาง มีคน นั่งปลดทุก อยู่ เป็น จุด ๆ ไม่อายกันเลย เมื่อเช้า ออกจากโรงแรม แต่เช้าจึงไม่เห็น สองข้าง ทางที่รถผ่านไป มีคนนอนอยู่ ข้างถนน ก็มี เป็นพวกชีเปลือย ไม่ใส่เสื้อผ้าก็มี ผมคิดในใจ นึกไปถึงสมัยพระพุทธองค์ออกบวช ผมสำรวจอีกสถานีหนึ่งเสร็จ แล้วกลับมาที่โรงแรม พื้นโรงแรมปูด้วย หินแกรนิต ผมคิดในใจ พวกที่รวยก็ รวยจริง ๆ จนก็ จนจริง ๆ ข้าโรงแรมคืนหนึ่งก็ร้อย กว่าเหรียญ แล้ว

▬ พื้นรองเท้าผ้าใบผม เหมือนมี เศษหิน ติดอยู่ ก่อนผมเดินขึ้นห้อง ผมรำคานที่มัน ขูดไปกับพื้น ดัง แกรก ๆ ผมเลยไปนั่งที่โต๊ะรับแขก แล้วแกะหินออก มีอยู่ด้วยกันสามเม็ด ที่ติดรองเท้าอยู่ แต่มี อยู่เม็ดหนึ่ง ที่ผม แปลกใจ มันเหมือน กับที่ผม หยิบ จากมือของคนกลุ่มนั้น บนเขา แต่ผม ก็ไม่ได้สนใจอะไรคงแกะมันออกทิ้งไป แล้วเดินขึ้นห้องไป แค่นี้ก่อนเดี๋ยวพรุ่งนี้ ค่อยมาต่อ นะครับ

จาก Web board 'คุยเฟื่อง เรื่องหิน' กระทู้ที่ 1202